แอลแฟลฟา (อังกฤษ: alfalfa) หรือ ลูเซิร์น (lucerne) จัดเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีฝัก เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันตกและแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เป็นพืชชนิดแรก ๆ ที่ใช้เพื่อการเพาะปลูก เติบโตได้ในแถบทุกอากาศทั่วโลก แอลแฟลฟามีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของ แอลแฟลฟาสามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่า อีกทั้งตัวของ แอลแฟลฟาเองก็จะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก "แอลแฟลฟา" มากว่า 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ เพื่อเพิ่มความเร็วและแข็งแรงให้กับม้า อีกทั้งยังใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม ด้วยคุณค่าทางอาหารที่มากมายชาวอาหรับจึงขนานนาม แอลแฟลฟาให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA หรือ "ราชาแห่งอาหารทั้งมวล"
ได้มีการใช้แอลแฟลฟาเพื่อการรักษาทางการแพทย์มาตั้งแต่ในสมัยโบราณ โดยแพทย์ชาวจีนได้ใช้ใบแอลแฟลฟาอ่อนในการรักษาอาการย่อยไม่ปกติ เช่นเดียวกันกับแพทย์ชาวอินเดียที่ใช้ใบและดอกสำหรับการรักษากระบวนการย่อยทำงานที่ทำงานได้น้อย นอกจากนี้ แอลแฟลฟายังใช้เพื่อการบำบัดโรคข้อต่ออักเสบ ชาวอินเดียนในอเมริกาเหนือได้แนะนำให้ใช้ แอลแฟลฟาในการรักษาโรคดีซ่าน และช่วยสนับสนุนการจับตัวของเลือด แพทย์ที่ใช้สมุนไพรเพื่อการบำบัดในสหรัฐอเมริการได้แนะนำให้ใช้ แอลแฟลฟาเป็นยาสำหรับอาการย่อยไม่เป็นปกติ ภาวะโลหิตจาง เบื่ออาหารและอาการการดูดซึมอาหารไม่ดี นอกจากนี้ยังแนะนำว่า แอลแฟลฟามีส่วนกระตุ้นให้การหลั่งน้ำนมในแม่ดีขึ้นอีกด้วย
ด้วยระบบรากที่มีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารมากกว่าพืชชนิดใด ๆ เป็นผลให้แอลแฟลฟาเป็นพืชที่มีส่วนประกอบของสารต่าง ๆ มากมาย มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายถึง 8 ชนิด เช่น lsoleucine, Leucine, Lysine, Methionine เป็นต้น ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่ อีกทั้งแอลแฟลฟายังมีวิตามินอีกมากมาย รวมถึง วิตามิน A, B1, B6, B8, B12, C, D, E, K, P และ U รวมทั้งยังประกอบไปด้วยเกลือแร่อีกหลากชนิด เช่น ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม แคลเซียม สังกะสี เซเลเนียม และแมกนีเซียม เป็นต้น และยังมีเอนไซม์หลักอีกถึง 8 ชนิด คือ ไลเปส อาเมเลล โคกุเลส อีมูลซิน อินเวอร์เคส เปอร์อ๊อกซีเตส เพดติเนส โปรตีส นอกจากนี้ แอลแฟลฟายังมีส่วนประกอบของสารอื่น ๆ อีก เช่น Betacarotene, Bioflavinoids, Carotene, Chlorine Chlorophyll, flavone, isoflavone, sterol และ Saponin เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่ให้คุณต่อร่างกายด้วยกันทั้งนั้น
ถั่วอัลฟัลฟ่า (อัลฟัลฟา, หญ้าอัลฟัลฟ่า) ชื่อสามัญ Alfalfa, Lucerne (ลีวเซอน)
อัลฟัลฟ่า ชื่อวิทยาศาสตร์ Medicago sativa L. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)[1]
อัลฟัลฟ่า จัดเป็นพืชในตระกูลถั่ว เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันตกและในแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง จึงได้รับการขนานนามว่าคือ “ราชาแห่งอาหารทั้งมวล” (AL-FAS-FAH-SHA)[2] หรือเป็น “บิดาของอาหารทุกชนิด” (Father of all foods)[4]
ลักษณะของอัลฟัลฟ่า
สรรพคุณของอัลฟัลฟ่า
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของอัลฟัลฟ่า
ประโยชน์ของอัลฟัลฟ่า
เส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ซึ่งจะไปคอยดักจับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด แอปเปิ้ล อุดมไปด้วยสารสำคัญอย่าง เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ซึ่งจะไปคอยดักจับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ที่ได้จากการย่อยสลายไขมันเพื่อนำไปกำจัดออกจากร่างกาย และยังสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย
สารสกัดจากแอปเปิ้ล อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่มีคุณภาพ ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดจึงทำให้รู้สึกอิ่มนาน และช่วยลดความอยากอาหาร นอกจากนั้นยังประกอบด้วยสารไฟโตเคมิคอล ซึ่งช่วยลดการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้องและรอบเอว (Belly Fat Deposit) คุณสมบัติในการล้างพิษเส้นใยธรรมชาติที่มีคุณสมบัติดูดซับโคเลสเตอรอล และช่วยในการชะล้างขับถ่ายพิษจากลำไส้ เพิ่มการขับออกของโลหะหนัก ตะกั่วปรอท ป้องกันการเกิดอาการเป็นพิษจากสารตะกั่วช่วยดูดซับรังสีที่เป็นพิษต่อร่างกายป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีสร้างสมดุลน้ำตาลในเลือดลดอัตราการเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง
สารสกัดจากแอปเปิ้ล ที่ประกอบไปด้วยผลไม้ต่างๆ เพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เป็นการผลัดเซลล์ผิวเก่า เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวสวย เปล่งประกายมากยิ่งขึ้น ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินนาๆ ชนิด ที่มีประโยชน์ต่อผิว ช่วยให้ผิวกระจางใส ลดความแห้งกร้านของผิว เพิ่มความนุ่มชุ่มชื้น และยังมีต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
ประโยชน์หลักๆ ของเค้าคือ ต่อต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว พร้อมทั้งเสริมสร้างอิลาสติน และคอลลาเจน ที่ดีต่อสุขภาพผิว ทำให้ผิวเด้ง นุ่ม ชุ่มชิ้น และผิวยืดหยุ่นเหมือนผิวเด็กอีกด้วย
สรรพคุณ และประโยชน์ของ สารสกัดจากแอปเปิ้ล (Apple Extract)
· ควบคุมความหิว/อยากอาหาร
· ดักจับไขมัน (Block)
. บล็อกการดูดซึมของไขมัน
· ขัดขวางการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสม
· ลดระดับคอเลสเตอรอล
· ขจัดไขมันเลว(LDL)ออกจากร่างกาย
· มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมากกว่า Grape Seed Extract 6 เท่า
เป็นสายใยของน้ำตาลที่มีความยาวตั้งแต่ 2 – 5 หน่วย โดยมีน้ำตาลหน่วยย่อย 2 ชนิดหลักคือ galactose และ glucose เชื่อมต่อกันอยู่ด้วยพันธะ glycosidic ชนิดต่างๆ (Nakayama and Amachi 1999) GOSสามารถถูกสังเคราะห์ได้ด้วยการใช้ปฏิกิริยาทางเคมี (Flowers 1978) แต่วิธีการนี้ไม่เหมาะสำหรับการผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อการบริโภค พบว่าวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการผลิต GOS ในระดับอุตสาหกรรมคือ การใช้เอนไซม์ beta-galactosidase (Nakayama and Amachi 1999; Pivarnik et al. 1995) ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการสังเคราะห์ GOS จาก lactose จากรายงานต่างๆ เกี่ยวกับการใช้เอนไซม์ beta-galactosidase จากแหล่งต่างๆ ทั้งยีสต์ ไวรัส และแบคทีเรีย ในการสังเคราะห์ GOS แสดงว่า โครงสร้างและอัตราส่วนของ GOS ที่ถูกผลิตขึ้นนั้นจะมีความแตกต่างกัน ขึ้นกับเอนไซม์ที่ใช้และสภาวะที่ใช้ในการทำปฏิกริยา (Nakkharat 2006) ดังที่ได้กล่าวข้างต้นแล้วว่าประโยชน์ของ GOS ที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในประเทศต่างๆ ทั่วโลก คือ การเป็นอาหารเสริมประเภท พรีไบโอติก (Gibson and Rastall 2006) เนื่องจาก GOS มีคุณสมบัติเป็น bifidus grown factor เพราะมีความสามารถในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่เป็นมิตรในระบบทางเดินอาหาร การบริโภค GOS จึงนำไปสู่ประโยชน์อื่นๆ ที่ร่างกายจะได้รับ
เป็นสาร อุดมด้วยกาแลตโตโอลิโกแซคคาไรท์ความเข้มข้นสูงมากกว่า 70% ให้พลังงานต่ำ ซึ่งอยู่ในกลุ่ม พรีไบโอติกที่ดี และให้ไตรแซคคาร์ไรด์ ประกอบด้วย แลคโตส และกาแลคโตส โดย 3,4,6 เป็นองค์ประกอบใกล้เคียงกับน้ำนมแม่ภายหลังจากการาคลอดบุตร ซึ่งมีประสิทธิผลในการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในกลุ่มกรดแลคติกและปิฟิโดแบคทีเรีย
คุณประโยชน์
ช่วยปรับปรุงระบบขับถ่ายให้สมดุล ลดอาการท้องผูก ปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มการดูดซึมของแร่ธาตุ และปรับปรุงผิวพรรณ ป้องกันโรคภูมิแพ้ทางผิวหนังได้ดี ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดการเกิดริ้วรอยและความแห้งกร้านของผิวหนัง
ข้อมูลทางวิชาการที่น่าสนใจ
จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์บางฉบับได้ตีพิมพ์เรื่องสารพิษที่เกิดขึ้นในทางเดินอาหาร ซึ่งเกิดขึ้นจากแบคทีเรียบางกลุ่ม อาจเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ริ้วรอยและความแห้งของผิวหนัง จากการศึกษาพบว่าการรับประทาน GOS มีผลช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคที่ไม่ใช่ออกซิเจน ดังนั้นจะช่วยลดการสร้างสารพิษจากแบคทีเรียกลุ่มดังกล่าว ลดการอักเสบของผิวหนัง ลดการเกิดสิว และริ้วรอย
ส้มแขก( Garcenia Cambogia) เป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย ที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว ลักษณะของผลส้มแขก จะคล้ายฟักทองขนาดเล็ก มีมากทางภาคใต้ ซึ่งมีการนำมาปรุงเป็นอาหารโดย ใช้เพิ่มรสเปรี้ยวให้อาหาร ได้มีการค้นคว้าพบว่า ผลส้มแขก มีสาร HCA หรือ Hydroxy-citric acid อยู่เป็นจำนวนมาก โดยพบว่า HCA นี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกินในร่างกาย และลดความอยากอาหารได้ จึงได้มีบางคนนำผลส้มแขกมาใช้ในการควบคุมน้ำหนัก
กลไกการออกฤทธิ์ของ HCA จะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจร Kreb's cycle (วงจรการย่อยสลายกลูโคส ของเซลร่างกาย) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็ จะนำไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลงซึ่งจะมีผลทำให้รูปร่างดีขึ้น
จากการนำสารสกัดจากผลส้มแขกมารับประทานเพื่อให้น้ำหนักลดลง พบว่าน้ำหนักตัวอาจจะไม่ลดลงเร็วมากนัก ประมาณ 1 กิโลภายใน 3-4 อาทิตย์ แต่รูปร่างจะดีขึ้น เอว(พุง) ลดลง ความอึดอัดลดน้อยลง เนื่องจากไขมันมีน้ำหนักเบากว่ากล้ามเนื้อ ( แต่ถ้าร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อก็จะเกิดการอ่อนแอและโรคแทรกซ้อนได้ง่าย)
ผลส้มแขก จนถึงบัดนี้ ยังไม่พบผลข้างเคียงหรืออันตรายที่เกิดขึ้นจากการรับประทานตามขนาดที่แนะนำ แต่ไม่ว่าจะลดน้ำหนัก ด้วยวิธีใด การปรับเปลี่ยน พฤติกรรมในการกินอาหาร ควบคู่กับการออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ได้ผลเร็วและปลอดภัยกว่ายาใดๆ ทั้งหมด
สรรพคุณของส้มแขก
ประโยชน์ของส้มแขก
เป็นผลไม้ที่มีสารไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytochemical) และแร่ธาตุสารอาหารสูง แต่กลับเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ ทั้ง ๆ ที่มีรสชาติหวานอร่อยและน้ำตาลที่มีอยู่ในลูกไหนก็เป็นน้ำตาลจากธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
โดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ พบว่าการรับประทานลูกไหนอบแห้ง หรือลูกพรุนจะช่วยควบคุมความอยากอาหารได้อีกด้วย ทำให้สามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีไฟเบอร์สูง ทำให้อาหารที่รับประทานเข้าไปยังคงอยู่ในท้องนานขึ้น ลดอาการหิวบ่อย ๆ และการรับประทานอาหารมากเกินพอดีได้อีก
ในลูกพรุนจะประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ เหล็ก(Iron)เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าผู้หญิงเรานั้นในแต่ละเดือนต้องสูญเสียเลือดประจำเดือนไปเท่าไร ธาตุเหล็กจึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆที่ขาดไม่ได้ ใครอยากมีเลือดฝาดอย่ามองข้ามลูกพรุน
วิตามิน B2(Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระบวนการสร้างช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยเฉพาะกับผิวหนัง เล็บและผม
แคลเซียม(Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้เป็นปกติ
วิตามิน C(Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ(Anti-oxidant)เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายเมื่อเซลล์ถูกทำลายโอกาสการเป็นมะเร็งก็มีสูงขึ้น วิตามินcมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidantในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง ช่วยให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น
วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดงทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรและที่จะลืมกล่าวถึงไม่ได้คือ ลูกพรุนนั้นอุดมไปด้วยกากใยหรือไฟเบอร์สูงมาก มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย บรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นประโยชน์ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตปัจจุบันที่ฝากไว้กับอาหารถุง ซึ่งแทบจะไม่มีอะไรที่เป็นกากใยเลย ลูกพรุน
ประโยชน์ของลูกไหน ลูกพรุน สรรพคุณยอดเยี่ยมที่ไม่ควรพลาด
ลูกพรุน เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงจึงมีประโยชน์ต่อร่างกายถึงขนาดนับว่าลูกไหนเป็นหนึ่งในซูเปอร์ฟู้ดที่ควรรับประทาน ประโยชน์ของลูกไหนมีทั้งบำรุงหัวใจ ช่วยในระบบขับถ่ายและอื่น ๆ อีกมากมายดังนี้
1. บำรุงสุขภาพหัวใจ
ลูกพรุน อุดมไปด้วยโพแทสเซียมซึ่งมีส่วนในการควบคุมระดับความดันโลหิต และช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย นอกจากนี้สีแดงอมม่วงในลูกพลัมยังอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ที่สามารถช่วยป้องการเกิดโรคมะเร็งที่มีสาเหตุจากการถูกทำลายของเซลล์จากสารอนุมูลอิสระอีกด้วย
2. ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
ลูกไหน ลูกพรุน อบแห้ง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า ลูกพรุนนั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาท้องผูกหรือขับถ่ายลำบากได้ดีเลยเชียวล่ะ เพราะลูกพรุน 1 ลูกก็มีปริมาณไฟเบอร์สูงถึง 1 กรัมเลยทีเดียว โดยสามารถจะรับประทานได้ทันที หรือจะนำไปใส่ในโยเกิร์ตกับเมล็ดพืชต่าง ๆ หรือจะนำไปแช่น้ำต้มสุกแล้วนำมารับประทาน แต่ถ้าใครชอบดื่มน้ำผลไม้ละก็สามารถหาซื้อที่คั้นเป็นน้ำสำเร็จรูปก็ช่วยในการขับถ่ายได้เช่นกัน
3. ลดระดับน้ำตาลในเลือด
แม้ว่าลูกไหน ลุกพรุน จะมีรสชาติหวาน แต่กลับเป็นผลไม้ที่มีระดับดัชนีน้ำตาลในระดับที่ต่ำ ทำให้เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างยิ่ง โดยจากการศึกษาของสำนักโภชนาการของประเทศแคนาดาก็ทำให้ทราบว่า การรับประทานลูกไหนสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
4. สร้างเสริมกระดูกหญิงวัยหมดประจำเดือนให้แข็งแรง
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยรัฐฟลอริดาและรัฐโอคลาโฮมา ได้ทำการศึกษาเรื่องโรคกระดูกพรุนกับหญิงวัยหมดประจำเดือน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรก รับประทานลูกไหนอบแห้งวันละ 100 กรัมต่อวัน และอีกกลุ่มรับประทานแอปเปิลอบแห้ง และทั้ง 2 กลุ่มจะได้รับอาหารเสริมวิตามินดีและแคลเซียม โดยการศึกษาพบว่า กลุ่มที่รับประทานลูกไหนอบแห้งจะมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อกระดูกในบริเวณกระดูกสันหลังและต้นแขนมากกว่ากลุ่มที่รับประทานแอปเปิลอบแห้งค่ะ จึงทำให้อาการของโรคกระดูกพรุนบรรเทาลงได้
5. บำรุงสมองและความจำ
การรับประทานลูกไหนอบแห้งเพียงวันละ 4 ชิ้น ก็ทำให้เราได้รับสารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้น ซึ่งสารเหล่านี้จะไปช่วยต่อต้านการถูกทำลายของเซลล์สมองอันเนื่องมาจากสารอนุมูลอิสระ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความจำ
6. ป้องกันริ้วรอยก่อนวัย
สารต้านอนุมูลอิสระในลูกไหนที่มาจากวิตามินซี นอกจากจะช่วยป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ในร่างกายแล้วก็ยังช่วยส่งเสริมการผลิตของคาร์นิทีน (Carnitine), นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) และคอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผิวพรรณยังคงดูอ่อนวัยและไร้ริ้วรอย
7. บำรุงสายตา
นอกจากวิตามินซีและวิตามินเคแล้ว ลูกไหนก็ยังมีวิตามินเอ ซึ่งมีคุณสมบัติในการบำรุงสายตาอีกด้วย โดยเพียงลูกเล็ก ๆ ก็มีปริมาณของวิตามินเอ ถึง 8% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวันเลยเชียวล่ะ ไม่เพียงเท่านั้นวิตามินเอก็ยังช่วยสร้างเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกได้อีกด้วย
ผง Psyllium Husk ในชื่อ Latin: Plantago Ovata มันเป็นเมล็ดของเมล็ด มันใช้กันอย่างแพร่หลายในอาหารเพื่อสุขภาพยาเสพติดเครื่องดื่มและอาหาร ฯลฯ เพราะมันมีเส้นใยอาหารในน้ำละลายได้ เส้นใยอาหารที่มีมากกว่า 80% อัตราส่วนของน้ำที่ละลายน้ำได้และไม่ละลายเป็น 7: 3
นอกจากเส้นใยอาหารแล้วยังมีสารอาหารอื่น ๆ อีกเช่นน้ำตาลกลูโคสโปรตีนโพลีแซคคาไรด์วิตามินบี 1 และโคลีนเป็นต้น
หน้าที่ของ Psyllium Husk Powder
สารสกัดผักโขม อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด จึงมีส่วนช่วยในการชะลอวัยและความเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกาย ช่วยส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้ ช่วยบำรุงและรักษาสุขภาพสายตา ป้องกันความเสื่อมของดวงตา ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน
หน้าที่ ของผักโขมผง
1. รักษาอาการหดตัวและป้องกันโรคของนักบุญเฟียร์เรซ ผักโขมมีเส้นใยผักมากมาย มันสามารถส่งเสริมการ peristalsis ลำไส้และดีที่จะถ่ายอุจจาระ; นอกจากนี้ยังสามารถส่งเสริมตับอ่อนเพื่อขับถ่ายเพื่อช่วยย่อยอาหารสามารถใช้รักษาโรคของนักบุญเฟียร์เรย์ตับอ่อนอักเสบเรื้อรังช่องคลอดและช่องคลอดทวารหนัก ฯลฯ
2. ส่งเสริมการเจริญเติบโตและเพิ่มความต้านทานโรค แคโรทีนสามารถกลายเป็นวิตามินเอในร่างกายและรักษาสุขภาพของดวงตาและเยื่อบุ
3.Guaranteeing nourishments เพื่อปรับปรุงสุขภาพร่างกาย มันมีสารอาหารมากมายเช่นแคโรทีนวิตามินซีและอีแคลเซียมฟอสเฟอร์โคเอนไซม์คิวเท็น ฯลฯ ไขมันที่มีผักโขมสามารถช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้
4. การส่งเสริมการเผาผลาญอาหารและต่อต้านริ้วรอย ทำความสะอาดและต่อต้านริ้วรอย
วีทกราส (Wheat grass) เป็นต้นอ่อนของข้าวสาลี มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Triticum aestivum มีประวัติการใช้มาอย่างยาวนานกว่า 5,000 ปีมาแล้วตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ ซึ่งใช้ในด้านการบำรุงสุขภาพ และเป็นยาอายุวัฒนะ การศึกษาในด้านพฤกษเคมี (Phytochemical) พบว่า น้ำวีทกราสนี้มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน หลายชนิด รวมถึงคลอโรฟิลด์ด้วย
มีการใช้น้ำวีทกราสในการรักษาโรคต่างๆที่เกี่ยวกับกระเพาะและลำไส้มานานกว่า 30 ปีแล้ว และมีงานวิจัยเชิงทดลองแบบมีกลุ่มควบคุม ที่ทำเกี่ยวการศึกษากับโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ (Ulcerative Colitis) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดเฉพาะบริเวณลำไส้ใหญ่เท่านั้น โดยในระยะเฉียบพลันของโรค ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรง ถ่ายปนมูกหรือเลือดสด อาการแสดงขึ้นอยู่กับความรุนแรงและตำแหน่งของการอักเสบ หากเกิดที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายสุด จะมีอาการปวดถ่ายตลอดเวลา การวิจัยนี้ทดลองคนไข้ โดยดื่มน้ำวีทกราสวันละ 100 มิลลิลิตร ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 1 เดือน พบว่า ช่วยบรรเทาอาการโดยรวมของโรคให้ดีขึ้น ลดความรุนแรงของการถ่ายเป็นเลือด และจำนวนครั้งของการบีบตัวของลำไส้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในการศึกษาเกี่ยวกับผู้ป่วยที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) ซึ่งเป็นโรคความผิดปกติทางพันธุกรรมของเม็ดเลือดแดง ทำให้เกิดอาการโลหิตจาง มีงานวิจัยที่ทำกับผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคธาลัสซีเมียในระดับรุนแรงจำนวน 40 คน โดยให้รับประทานวีทกราสชนิดเม็ด พบว่า มีศักยภาพที่จะเพิ่มระดับฮีโมโกลบิน ช่วยยืดระยะเวลาการถ่ายเลือดออกไป และยังช่วยลดจำนวนเลือดที่ใช้ในการถ่ายเลือดด้วย อีกงานวิจัยหนึ่ง พบว่า การให้คนไข้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียในระดับรุนแรง ดื่มน้ำวีทกราส 100 มิลลิลิตร ทุกวัน เป็นระยะเวลา 1 ปี ช่วยลดปริมาณเลือดที่ใช้ในการถ่ายเลือด รวมถึงช่วยลดจำนวนครั้งในการถ่ายเลือดลงอีกด้วย
นอกจากนี้น้ำวีทกราสยังป้องกันการเกิดภาวะโลหิตจาง ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการได้รับเคมีบำบัดได้ดี โดยพบว่าในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ดื่มน้ำวีทกราส วันละ 60 มล. ตลอดระยะเวลาการได้รับเคมีบำบัด ทั้ง 3 รอบ ช่วยป้องการเกิดภาวะโลหิตจาง (anemia) ได้ดี มีผลเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่มีผลต่อการตอบสนองการได้รับการรักษาจากเคมีบำบัดของ
ผู้ป่วย และการศึกษาในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ที่ดื่มน้ำวีทกราส วันละ 30 มล. ติดต่อกัน 6 เดือน พบว่าช่วยเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบิน เกล็ดเลือด และเพิ่มภูมิต้านทานได้ดี ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การศึกษาฤทธิ์อื่นที่น่าสนใจ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในอาสาสมัครที่ได้รับสารก่ออนุมูลอิสระ BPA (biphenol-A) ผ่านทางสิ่งแวดล้อม เมื่อให้ดื่มวีทกราส วันละ 100 มล. ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ พบว่าปริมาณสาร BPA ในปัสสาวะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยแนวโน้มการลดลงของ BPA สัมพันธ์กับระยะเวลาที่ดื่มวีทกราส
ปัจจุบัน มีการพัฒนาวีทกราสขึ้นมาในรูปเครื่องดื่มชนิดชงละลายทันที เพื่อความสะดวกของผู้บริโภค มีการเสริมคุณประโยชน์เพิ่มเข้าไปโดยผสมสารอาหารต่างๆที่มีประโยชน์เข้าไป เช่น วิตามิน ใยอาหารอินนูลิน ผักและผลไม้รวม ชาเขียว เพื่อเสริมคุณค่าของผลิตภัณฑ์ให้มากยิ่งขึ้นจะเห็นได้ว่าวีทกราสในรูปเครื่องดื่มชนิดชง มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งในแง่ของการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงในผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจาง ป้องกันการเกิดอันตรายจากอนุมูลอิสระ และรักษาอาการลำไส้อักเสบ โดยไม่พบความเป็นพิษหรืออาการข้างเคียงใดๆ
แต่อย่างไรก็ตามควรระมัดระวังการใช้ในเด็กอ่อน หรือสตรีมีครรภ์ เนื่องจากยังไม่มีรายงานด้านความปลอดภัย อีกน้ำวีทกราสจะมีกลิ่นเหม็นเขียวคล้ายหญ้า จึงอาจกระตุ้นให้เกิดการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นดังกล่าวได้
ประโยชน์
1. เพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงและช่วยลดความดันเลือด
2. ทำความสะอาดเลือด, อวัยวะและทางเดินอาหาร
3. ต้นข้าวสาลีอ่อนยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญอาหารของร่างกายและระบบเอนไซม์ของเลือดนอกจากนี้ยังช่วยในการลดความดันโลหิตโดยการขยายทางเดินเลือดทั่วร่างกาย
4. กระตุ้นต่อมไทรอยด์การแก้ไขโรคอ้วน, อาหารไม่ย่อย
5. ปรับสมดุลความเป็นกรด-ด่างของเลือด, แร่ธาตุที่เป็นด่างจะช่วยลดความเป็นกรดมากเกินไปในเลือด
6. สามารถบรรเทาอาการปวดภายใน, รักษาแผลในกระเพาะอาหาร, อาการลำไส้ใหญ่บวม, ท้องผูกท้องเสียและโรค อื่น ๆ ของระบบทางเดินอาหาร
7. มีประสิทธิภาพล้างสารพิษในตับและเลือด
8. เอ็นไซม์และกรดอะมิโนที่พบในต้นข้าวสาลีอ่อนสามารถปกป้องเราจากสารก่อมะเร็ง ที่เราได้รับจากอาหาร ยา และมลพิษต่างๆ เพราะวีทกราสสามารถเพิ่มออกซิเจนให้กับเซลล์ในร่างกาย แต่เซลล์มะเร็งอยู่ไม่ได้ในที่มีออกซิเจน
9. การศึกษาล่าสุดแสดงให้เห็นว่าน้ำต้นข้าวสาลีอ่อนมีความสามารถที่มีประสิทธิภาพที่จะต่อสู้กับเนื้องอก และสารพิษโดยไม่มีความเป็นพิษตกค้างในร่า่งกาย
10.สารที่พบในน้ำหญ้าทำความสะอาดเลือดและปรับสภาพ สามารถย่อยสลายสารพิษในเซลล์ของเรา
11. การทานน้ำวีทกราสสดๆ ทำให้ได้เอนไซม์ที่ที่มีชีวิต เราสามารถได้รับประโยชน์จากเอนไซม์จำนวนมากที่พบในหญ้า เอ็นไซม์จะถูกทำลายหมดไปถ้าเรานำไปผ่านความร้อน เช่น การ Pasturize ,Sterize,UHT. บรรจุลงกล่องหรือขวด เพื่อเป็นการยืดอายุ
12. ในน้ำวีทกราสมีรงควัตถุสีเขียว คลอโฟิลล์ ที่มีโมเกุลมคล้ายคลึงกับ เม็ดเลือดของมนุษย์. โดยเม็ดเลือดหรือที่เรียกว่าเฮโมโกลบิน มีหน้าที่พาออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
13. ต้นข้าวสาลีอ่อนกระตุ้นการทำความสะอาดอย่างรวดเร็วของลำไส้ สามารถลดเศษซากอาหารที่ตกค้างอยู่ในลำไส้
14.นำมาใช้กับผิวภายนอกสามารถช่วยขจัดอาการคันเกือบจะในทันที
15.ทำหน้าที่เป็นยาฆ่าเชื้อ. ลูบลงในหนังศีรษะก่อนสระผมจะช่วยซ่อมผมเสียและบรรเทาอาการคัน
16.นำวีทกราส มาพอกรักษาอาการผิวหนังที่ถูก เผาไหม้, เป็นผื่นคัน, เท้าของนักกีฬา, แมลงกัดต่อย, น้ำร้อนลวก, ฝี, แผลเปิด, เนื้องอก, และอื่น ๆ . ใช้เป็นยาพอกและแทนที่ทุก 2-4 ชั่วโมง
17.ขจัดสารพิษเช่นแคดเมียม, นิโคติน, Strontium, ปรอท, และโพลีไวนิลคลอไรด์
18.ช่วยให้ผมกลับมาเป็นสีดำตามธรรมชาติอีกครั้ง แก้ผมหงอก
19. ต้นข้าวสาลีอ่อนจะทำความสะอาดเลือดและช่วยฟื้นฟูเซลล์ชรา, ชะลอริ้วรอย กระบวนการเสื่อมของร่างกายต่างๆจะชะลอลง ทำให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
20. เอนไซม์ที่พบในต้นข้าวสาลีอ่อน, SOD, จะลดผลกระทบจากการใช้รังสีและทำหน้าที่เป็นสารต้านการอักเสบที่อาจป้องกันความเสียหายของเซลล์ร่างกาย