การผลิตอาหาร ตามหมวดการบำรุงร่างกาย

หน้าแรก / บริการของเรา

สรรพคุณสารสกัด ระบบย่อยอาหาร

 

สารสกัดจากอัลฟาฟ่า

 

Alfafa Extract(สารสกัดจากอัลฟาฟ่า)

 

แอลแฟลฟา (อังกฤษ: alfalfa) หรือ ลูเซิร์น (lucerne) จัดเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีฝัก เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันตกและแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เป็นพืชชนิดแรก ๆ ที่ใช้เพื่อการเพาะปลูก เติบโตได้ในแถบทุกอากาศทั่วโลก แอลแฟลฟามีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของ แอลแฟลฟาสามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่า อีกทั้งตัวของ แอลแฟลฟาเองก็จะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก "แอลแฟลฟา" มากว่า 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ เพื่อเพิ่มความเร็วและแข็งแรงให้กับม้า อีกทั้งยังใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม ด้วยคุณค่าทางอาหารที่มากมายชาวอาหรับจึงขนานนาม แอลแฟลฟาให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA หรือ "ราชาแห่งอาหารทั้งมวล"

ได้มีการใช้แอลแฟลฟาเพื่อการรักษาทางการแพทย์มาตั้งแต่ในสมัยโบราณ โดยแพทย์ชาวจีนได้ใช้ใบแอลแฟลฟาอ่อนในการรักษาอาการย่อยไม่ปกติ เช่นเดียวกันกับแพทย์ชาวอินเดียที่ใช้ใบและดอกสำหรับการรักษากระบวนการย่อยทำงานที่ทำงานได้น้อย นอกจากนี้ แอลแฟลฟายังใช้เพื่อการบำบัดโรคข้อต่ออักเสบ ชาวอินเดียนในอเมริกาเหนือได้แนะนำให้ใช้ แอลแฟลฟาในการรักษาโรคดีซ่าน และช่วยสนับสนุนการจับตัวของเลือด แพทย์ที่ใช้สมุนไพรเพื่อการบำบัดในสหรัฐอเมริการได้แนะนำให้ใช้ แอลแฟลฟาเป็นยาสำหรับอาการย่อยไม่เป็นปกติ ภาวะโลหิตจาง เบื่ออาหารและอาการการดูดซึมอาหารไม่ดี นอกจากนี้ยังแนะนำว่า แอลแฟลฟามีส่วนกระตุ้นให้การหลั่งน้ำนมในแม่ดีขึ้นอีกด้วย

ด้วยระบบรากที่มีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารมากกว่าพืชชนิดใด ๆ เป็นผลให้แอลแฟลฟาเป็นพืชที่มีส่วนประกอบของสารต่าง ๆ มากมาย มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายถึง 8 ชนิด เช่น lsoleucine, Leucine, Lysine, Methionine เป็นต้น ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่ อีกทั้งแอลแฟลฟายังมีวิตามินอีกมากมาย รวมถึง วิตามิน A, B1, B6, B8, B12, C, D, E, K, P และ U รวมทั้งยังประกอบไปด้วยเกลือแร่อีกหลากชนิด เช่น ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม แคลเซียม สังกะสี เซเลเนียม และแมกนีเซียม เป็นต้น และยังมีเอนไซม์หลักอีกถึง 8 ชนิด คือ ไลเปส อาเมเลล โคกุเลส อีมูลซิน อินเวอร์เคส เปอร์อ๊อกซีเตส เพดติเนส โปรตีส นอกจากนี้ แอลแฟลฟายังมีส่วนประกอบของสารอื่น ๆ อีก เช่น Betacarotene, Bioflavinoids, Carotene, Chlorine Chlorophyll, flavone, isoflavone, sterol และ Saponin เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่ให้คุณต่อร่างกายด้วยกันทั้งนั้น

อัลฟัลฟ่า

ถั่วอัลฟัลฟ่า (อัลฟัลฟาหญ้าอัลฟัลฟ่า) ชื่อสามัญ AlfalfaLucerne (ลีวเซอน)

อัลฟัลฟ่า ชื่อวิทยาศาสตร์ Medicago sativa L. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)[1]

อัลฟัลฟ่า จัดเป็นพืชในตระกูลถั่ว เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันตกและในแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง จึงได้รับการขนานนามว่าคือ “ราชาแห่งอาหารทั้งมวล” (AL-FAS-FAH-SHA)[2] หรือเป็น “บิดาของอาหารทุกชนิด” (Father of all foods)[4]

ลักษณะของอัลฟัลฟ่า

  • ต้นอัลฟัลฟ่า จัดเป็นพืชตระกูลถั่วมีฝักที่มีลำต้นสูงประมาณ 30-60 เซนติเมตร เจริญเติบโตได้ในแถบทุกอากาศทั่วโลก ลำต้นมีระบบรากที่มหัศจรรย์ เพราะในบางพื้นที่รากของต้นอัลฟัลฟ่าสามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต จึงสามารถดูดซึมธาตุอาหารได้มากและบริสุทธิ์กว่าพืชอื่น ๆ อีกทั้งต้นอัลฟัลฟ่าเองก็จะไม่สะสมสารพิษอีกด้วย

สรรพคุณของอัลฟัลฟ่า

  1. อัลฟัลฟ่ามีสารแคโรทีนและอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกาย จึงเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งที่ต้องการฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลาย ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง[3],[4],[5]
  2. สารไฟโตเอสโตรเจนมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โดยสารที่จัดเป็นสารประเภทไฟโตรเอสโตรเจนที่มีอยู่ในอัลฟัลฟ่าได้แก่ Isoflavones, Coumestans และสาร Lignans แต่ในปัจจุบันยังไม่มีขนาดแนะนำในการรับประทาน แต่อย่างไรก็ดีการเพิ่มการบริโภคอาหารที่สารดังกล่าวจะสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งในร่างกายได้เป็นอย่างดี[3]
  3. สารซาโปนินมีรสขม มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร จึงช่วยทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น[5]
  4. สารซาโปนินที่พบในอัลฟัลฟ่า มีลักษณะเหมือนกันกับที่พบในรากโสม ซึ่งมันมีสรรพคุณช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างเหมาะสมและเป็นปกติ[3]
  5. อัลฟัลฟ่ามีเบตาแคโรทีนสูง ซึ่งเป็นตัวช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันโรคของร่างกาย ช่วยทำให้ผิวหนังและเยื่อบุผิวหนังมีสุขภาพดี[3]
  6. อัลฟัลฟ่าอุดมไปด้วยธาตุฟลูออไรด์และแคลเซียม มันจึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟันได้เป็นอย่างดี[3]
  7. ช่วยบำรุงเส้นผม ลดอาการผมร่วง ทำให้ผมหงอกกลับดำขึ้น[4]
  8. ช่วยทำให้ผู้ที่เป็นโรคต้อกระจกมองเห็นได้ดีขึ้น[4]
  9. ช่วยลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ[4]
  10. ช่วยลดระดับน้ำตาลและปรับระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน[4],[6]
  1. ในสหรัฐอเมริกาได้แนะนำให้ใช้อัลฟัลฟ่าในการรักษาภาวะโลหิตจาง[2]
  2. ช่วยสนับสนุนการจับตัวของเลือด[2]
  3. ช่วยกำจัดของเสีย ขับสารพิษออกจากร่างกาย ขับสารพิษออกจากเลือดและอวัยวะภายใน ลดการตกค้างของของเสียตามผิวหนัง ช่วยทำให้เลือดสะอาดและไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลทำให้ผิวพรรณผ่องใสและสุขภาพที่ดีตามมา มันจึงมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ชอบรับประทานเนื้อสัตว์[3],[4]
  4. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเมล็ดเลือดแดง ทำให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น[4]
  5. สารซาโปนินจะช่วยลดการอุดตันของเกล็ดเลือดในเส้นเลือดฝอย ช่วยลดอัตราของการเกิดความจำเสื่อม และภาวะไขมันในเลือดสูงได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ[5]
  6. ช่วยส่งเสริมการดูดซึมของโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตของร่างกาย[6]
  7. อัลฟัลฟ่ามีส่วนช่วยฟื้นฟู บรรเทาอาการของผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะติดสารเสพติดและติดแอลกอฮอล์ได้[4]
  8. ช่วยทำให้ผู้ที่เป็นภูมิแพ้มีอาการที่ดีขึ้น[4]
  9. วิตามินเคจากอัลฟัลฟ่า จะช่วยป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนได้[3]
  10. จากการศึกษาพบว่าสารซาโปนินและสารประกอบอื่นในอัลฟัลฟ่ามีความสามารถในการยึดติดในคอเลสเตอรอลกับเกลือน้ำดี ช่วยป้องกันและชะลอการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหาร จึงช่วยทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำ ช่วยป้องกันการสะสมไขมันในหลอดเลือด และช่วยควบคุมระดับความเข้มข้นของคอเลสเตอรอลให้เป็นปกติ โดยในการศึกษาจากผู้ป่วยจำนวน 15 คน ที่ให้อัลฟัลฟ่าในขนาด 40 กรัม วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 8 วัน พบว่าผู้ป่วยมีระดับคอเลสเตอรอลรวมและไขมันเลว (LDL) ลดลงประมาณ 17-18% ในขณะที่บางส่วนสามารถลดได้ถึง 26-30%[3]
  11. อัลฟัลฟ่ามีไฟเบอร์จากธรรมชาติอยู่สูงมาก และยังมีประโยชน์ในการช่วยฟื้นฟูภาวะลำไส้อ่อนแอ ช่วยในการลำเลียงของเสียออกจากระบบได้เป็นอย่างดี จึงทำให้หลอดลำไส้มีสุขภาพที่ดี[3]
  12. ช่วยแก้อาการเบื่ออาหารและอาการดูดซึมอาหารได้ไม่ดี[2]
  13. แพทย์ชาวจีนได้มีการนำใบอัลฟัลฟ่าอ่อนเพื่อใช้ในการรักษาอาการย่อยไม่เป็นปกติ เช่นเดียวกับแพทย์ชาวอินเดียที่ใช้ใบและดอกในการรักษากระบวนการย่อยที่ทำงานได้น้อย (ใบ, ดอก)[2]
  14. มีแพทย์จำนวนมากที่ใช้อัลฟัลฟ่าเพื่อรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร เช่น การมีแก๊สในกระเพาะอาหารมาก มีอาการจุดเสียดเป็นประจำ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร เป็นโรคเบื่ออาหาร เป็นต้น และอัลฟัลฟ่ายังมีเอนไซม์ที่ช่วยทำให้การดูดซึมอาหารภายในร่างกายเป็นปกติ มีสารที่ช่วยเคลือบผิวของกระเพาะอาหารให้มีความแข็งแรง และยังพบว่าอัลฟัลฟ่าสามารถช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร อาการปวดท้องเนื่องจากมีแก๊สมาก รักษาแผลในกระเพาะลำไส้ได้เป็นอย่างดี[3]
  15. อัลฟัลฟ่ามีคุณสมบัติที่ช่วยในการขับถ่ายและการปัสสาวะให้เป็นปกติ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก บรรเทาอาการของริดสีดวงทวาร[3]
  16. อัลฟัลฟ่ายังถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ในกระเพาะปัสสาวะ ไต และต่อมลูกหมากที่ทำงานผิดปกติ[6]
  17. อัลฟัลฟ่างอกเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูง ช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวเนื่องจากภาวะการหมดประจำเดือนของสตรี (อัลฟัลฟ่างอก)[2]
  18. สาร Isoflavone ในอัลฟัลฟ่าถูกจัดเป็นเอสโตรเจนธรรมชาติ (Phytooestrogen) ซึ่งในสตรีในช่วงใกล้หมดประจำเดือนจะมีระดับเอสโตรเจนต่ำลง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและเกิดภาวะกระดูกเสื่อม และสารดังกล่าวจะเข้าไปช่วยชดเชยระดับเอสโตรเจนที่ต่ำลง อีกทั้งยังช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยลดอาการผิดปกติในช่วงมีประจำเดือน เช่น มีอาการหงุดหงิดง่าย มีอาการร้อนวูบวาบตามตัว เป็นต้น[3]
  19. ช่วยปรับสภาพของผู้หญิงวัยทอง ลดปัญหาอันเกิดเนื่องมาจากภาวะวัยทอง[4]
  20. อัลฟัลฟ่าถูกนำมาใช้ในประเทศจีนตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 6 โดยนำมาใช้เพื่อรักษาโรคไต และเพื่อบรรเทาอาการตัวบวมอันเนื่องมาจากการกักเก็บน้ำในร่างกายที่มากเกินไป[6]
  21. ชาวอินเดียในอเมริกาเหนือได้แนะนำให้ใช้อัลฟัลฟ่าในการรักษาโรคดีซ่าน[2]
  22. มีการใช้อัลฟัลฟ่าเพื่อช่วยบำบัดโรคข้อต่ออักเสบ แก้อาการปวดข้อ ข้อแข็ง และรูมาตอยด์ เนื่องจากอัลฟัลฟ่าจะช่วยปรับสมดุลของกรดด่างในร่างกาย ช่วยป้องกันการสะสมตัวของกรดยูริกและกรดอื่น ๆ ตามข้อต่อต่าง ๆ ซึ่งจากหนังสือ Feel Like a Million ของแคทเทอรีน เอลวูล ได้ระบุว่าเมื่อให้ผู้ป่วยรูมาตอยด์ใช้อัลฟัลฟ่าเพื่อรักษาอาการปวดตามข้อ พบว่าผู้ป่วยสามารถงอมือได้สะดวกยิ่งขึ้นและอาการเจ็บปวดก็หายไป[2],[3]
  23. ช่วยระงับอาการปวดในโรคข้ออักเสบและถุงน้ำต่าง ๆ[6]
  24. ช่วยลดแผลอักเสบ[4]
  25. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย[4]
  26. ช่วยทำให้อาการชา บวม และเส้นเลือดขอดบรรเทาลง[4]
  27. อัลฟัลฟ่ามีส่วนช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำนมของแม่ได้ดีมากขึ้น[2]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของอัลฟัลฟ่า

  • สารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ของต้นอัลฟัลฟ่ามีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิง จึงมีการนำมาใช้เป็นฮอร์โมนทดแทนในหญิงที่ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น การนำมาใช้ในหญิงที่ได้ทำการผ่าตัดเอามดลูกออก เป็นต้น[1]
  • สารในกลุ่มซาโปนินของต้นอัลฟัลฟ่ามีฤทธิ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลด้วยการเพิ่มการนำคอเลสเตอรอลไปใช้ในการสร้างน้ำดีในตับ และยังออกฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือด จึงช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดอันเนื่องมาจากไขมันได้ และสารซาโปนินยังสามารถช่วยฆ่าเชื้อราจำพวกแคนดิดา โดยสารดังกล่าวจะไปจับกับเซลล์เมมเบรนของเชื้อรา และทำให้เชื้อราตาย[1]
  • ธาตุแมงกานีสที่อยู่ในอัลฟัลฟ่าสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้[1]

ประโยชน์ของอัลฟัลฟ่า

  1. อัลฟัลฟ่างอก จัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่นิยมนำมาใส่สลัด (มีกลิ่นคล้ายกับถั่วลันเตา) เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อีกทั้งยังมีไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งช่วยป้องกันมะเร็งได้[2]
  2. ใบตากแห้งใช้ชงเป็นชาดื่มเพื่อสุขภาพ[2]
  3. อัลฟัลฟ่าเป็นพืชที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอย่างหลากหลายและครบถ้วน มันจึงมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ[3]
  4. ต้นอัลฟัลฟ่ามีสารสำคัญอยู่หลายกลุ่ม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น เช่น สารในกลุ่มอโซฟลาโวนอยด์ (isoflavonoids) สารในกลุ่มซาโปนิน (Saponins) สารในกลุ่มสเตียรอยด์ (Steroids) รวมไปถึงสารในองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น คาร์โบไอเดรต โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ เกลือแร่ เอนไซม์หลัก 8 ชนิด และกรดอะมิโนจำเป็นทั้ง 8 ชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้[1],[2]
  5. อัลฟัลฟ่าเป็นพืชที่อุดมไปด้วย Chlorophyll หากต้องการทราบว่ามันมีประโยชน์อย่างไร คุณสามารถอ่านได้ที่บทความนี้ คลอโรฟิลล์[3]
  6. สารไฟโตเอสโตรเจนเป็นตัวช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย การรับประทานอัลฟัลฟ่าจะช่วยทำให้ผู้ที่เป็นสิวง่าย มีปริมาณการเกิดสิวลดลง ทำให้ผิวหน้าดูสะอาดขึ้น[3]
  7. อัลฟัลฟ่าอุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด รวมไปถึงเกลือแร่และโปรตีน จึงนิยมนำมาใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่าง ๆ เช่น การนำมาใช้ผสมในครีมอาบน้ำ ในผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม เป็นต้น และยังพบว่ามีอยู่ในผลิตภัณฑ์ยาเม็ดสำเร็จรูป หรือเป็นแบบต้นแห้งสำหรับชงน้ำร้อนดื่ม[1]
  8. ชาวอาหรับโบราณรู้จักนำอัลฟัลฟ่ามาใช้ประโยชน์มานานแล้ว โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงม้า เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วและเพิ่มความแข็งแรงให้กับม้า[2]

 

สารสกัดจากแอปเปิ้ล

 

Apple Extract (สารสกัดจากแอปเปิ้ล

 

        เส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ซึ่งจะไปคอยดักจับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด แอปเปิ้ล อุดมไปด้วยสารสำคัญอย่าง เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ซึ่งจะไปคอยดักจับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ที่ได้จากการย่อยสลายไขมันเพื่อนำไปกำจัดออกจากร่างกาย และยังสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย

สารสกัดจากแอปเปิ้ล อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่มีคุณภาพ ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดจึงทำให้รู้สึกอิ่มนาน และช่วยลดความอยากอาหาร นอกจากนั้นยังประกอบด้วยสารไฟโตเคมิคอล ซึ่งช่วยลดการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้องและรอบเอว (Belly Fat Deposit) คุณสมบัติในการล้างพิษเส้นใยธรรมชาติที่มีคุณสมบัติดูดซับโคเลสเตอรอล และช่วยในการชะล้างขับถ่ายพิษจากลำไส้ เพิ่มการขับออกของโลหะหนัก ตะกั่วปรอท ป้องกันการเกิดอาการเป็นพิษจากสารตะกั่วช่วยดูดซับรังสีที่เป็นพิษต่อร่างกายป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีสร้างสมดุลน้ำตาลในเลือดลดอัตราการเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง

สารสกัดจากแอปเปิ้ล ที่ประกอบไปด้วยผลไม้ต่างๆ เพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เป็นการผลัดเซลล์ผิวเก่า เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวสวย เปล่งประกายมากยิ่งขึ้น ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินนาๆ ชนิด ที่มีประโยชน์ต่อผิว ช่วยให้ผิวกระจางใส ลดความแห้งกร้านของผิว เพิ่มความนุ่มชุ่มชื้น และยังมีต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

ประโยชน์หลักๆ ของเค้าคือ ต่อต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว พร้อมทั้งเสริมสร้างอิลาสติน และคอลลาเจน ที่ดีต่อสุขภาพผิว ทำให้ผิวเด้ง นุ่ม ชุ่มชิ้น และผิวยืดหยุ่นเหมือนผิวเด็กอีกด้วย

 

สรรพคุณ และประโยชน์ของ สารสกัดจากแอปเปิ้ล (Apple Extract)

·   ควบคุมความหิว/อยากอาหาร
·   ดักจับไขมัน (Block)

.   บล็อกการดูดซึมของไขมัน

·   ขัดขวางการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสม

·   ลดระดับคอเลสเตอรอล

·   ขจัดไขมันเลว(LDL)ออกจากร่างกาย

·   มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมากกว่า Grape Seed Extract 6 เท่า

 

Galacto-oligosaccharide

Galacto-oligosaccharide หรือ GOS

 

เป็นสายใยของน้ำตาลที่มีความยาวตั้งแต่ 2 – 5 หน่วย โดยมีน้ำตาลหน่วยย่อย 2 ชนิดหลักคือ galactose และ glucose เชื่อมต่อกันอยู่ด้วยพันธะ glycosidic ชนิดต่างๆ (Nakayama and Amachi 1999) GOSสามารถถูกสังเคราะห์ได้ด้วยการใช้ปฏิกิริยาทางเคมี (Flowers 1978) แต่วิธีการนี้ไม่เหมาะสำหรับการผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อการบริโภค พบว่าวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการผลิต GOS ในระดับอุตสาหกรรมคือ การใช้เอนไซม์ beta-galactosidase (Nakayama and Amachi 1999; Pivarnik et al. 1995) ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการสังเคราะห์ GOS จาก lactose จากรายงานต่างๆ เกี่ยวกับการใช้เอนไซม์ beta-galactosidase จากแหล่งต่างๆ ทั้งยีสต์ ไวรัส และแบคทีเรีย ในการสังเคราะห์ GOS แสดงว่า โครงสร้างและอัตราส่วนของ GOS ที่ถูกผลิตขึ้นนั้นจะมีความแตกต่างกัน ขึ้นกับเอนไซม์ที่ใช้และสภาวะที่ใช้ในการทำปฏิกริยา (Nakkharat 2006) ดังที่ได้กล่าวข้างต้นแล้วว่าประโยชน์ของ GOS ที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในประเทศต่างๆ ทั่วโลก คือ การเป็นอาหารเสริมประเภท พรีไบโอติก (Gibson and Rastall 2006) เนื่องจาก GOS มีคุณสมบัติเป็น bifidus grown factor เพราะมีความสามารถในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่เป็นมิตรในระบบทางเดินอาหาร การบริโภค GOS จึงนำไปสู่ประโยชน์อื่นๆ ที่ร่างกายจะได้รับ

            เป็นสาร อุดมด้วยกาแลตโตโอลิโกแซคคาไรท์ความเข้มข้นสูงมากกว่า 70% ให้พลังงานต่ำ ซึ่งอยู่ในกลุ่ม พรีไบโอติกที่ดี และให้ไตรแซคคาร์ไรด์ ประกอบด้วย แลคโตส และกาแลคโตส โดย 3,4,6 เป็นองค์ประกอบใกล้เคียงกับน้ำนมแม่ภายหลังจากการาคลอดบุตร ซึ่งมีประสิทธิผลในการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในกลุ่มกรดแลคติกและปิฟิโดแบคทีเรีย

 

คุณประโยชน์
                ช่วยปรับปรุงระบบขับถ่ายให้สมดุล ลดอาการท้องผูก ปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มการดูดซึมของแร่ธาตุ และปรับปรุงผิวพรรณ ป้องกันโรคภูมิแพ้ทางผิวหนังได้ดี ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดการเกิดริ้วรอยและความแห้งกร้านของผิวหนัง

 

ข้อมูลทางวิชาการที่น่าสนใจ
                จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์บางฉบับได้ตีพิมพ์เรื่องสารพิษที่เกิดขึ้นในทางเดินอาหาร ซึ่งเกิดขึ้นจากแบคทีเรียบางกลุ่ม อาจเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ริ้วรอยและความแห้งของผิวหนัง จากการศึกษาพบว่าการรับประทาน GOS มีผลช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคที่ไม่ใช่ออกซิเจน ดังนั้นจะช่วยลดการสร้างสารพิษจากแบคทีเรียกลุ่มดังกล่าว ลดการอักเสบของผิวหนัง ลดการเกิดสิว และริ้วรอย

 

Garcinia Extract

 

Garcinia Extract (สารสกัดส้มแขก)

 

ส้มแขก( Garcenia Cambogia) เป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย ที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว ลักษณะของผลส้มแขก จะคล้ายฟักทองขนาดเล็ก มีมากทางภาคใต้ ซึ่งมีการนำมาปรุงเป็นอาหารโดย ใช้เพิ่มรสเปรี้ยวให้อาหาร ได้มีการค้นคว้าพบว่า ผลส้มแขก มีสาร HCA หรือ Hydroxy-citric acid อยู่เป็นจำนวนมาก โดยพบว่า HCA นี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกินในร่างกาย และลดความอยากอาหารได้ จึงได้มีบางคนนำผลส้มแขกมาใช้ในการควบคุมน้ำหนัก

             กลไกการออกฤทธิ์ของ HCA จะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจร Kreb's cycle (วงจรการย่อยสลายกลูโคส ของเซลร่างกาย) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็ จะนำไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลงซึ่งจะมีผลทำให้รูปร่างดีขึ้น

              จากการนำสารสกัดจากผลส้มแขกมารับประทานเพื่อให้น้ำหนักลดลง พบว่าน้ำหนักตัวอาจจะไม่ลดลงเร็วมากนัก ประมาณ 1 กิโลภายใน 3-4 อาทิตย์ แต่รูปร่างจะดีขึ้น เอว(พุง) ลดลง ความอึดอัดลดน้อยลง เนื่องจากไขมันมีน้ำหนักเบากว่ากล้ามเนื้อ ( แต่ถ้าร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อก็จะเกิดการอ่อนแอและโรคแทรกซ้อนได้ง่าย)

ผลส้มแขก จนถึงบัดนี้ ยังไม่พบผลข้างเคียงหรืออันตรายที่เกิดขึ้นจากการรับประทานตามขนาดที่แนะนำ แต่ไม่ว่าจะลดน้ำหนัก ด้วยวิธีใด การปรับเปลี่ยน พฤติกรรมในการกินอาหาร ควบคู่กับการออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ได้ผลเร็วและปลอดภัยกว่ายาใดๆ ทั้งหมด

 

สรรพคุณของส้มแขก

  1. ช่วยแก้อาการไอ (ดอก)
  2. ใช้เป็นยาขับเสมหะ (ดอก)
  3. ผลแก่นำมาใช้ทำเป็นชาลดความดันได้ หรือจะใช้ดอกก็ได้ (ผลแก่, ดอก)
  4. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ดอกตัวผู้แห้งต้มกับน้ำ (อัตราส่วน 7 ดอก : น้ำ 1 ลิตร) เติมน้ำครั้งที่สองใส่ดอก 3 ดอกต่อน้ำ 1 ลิตร โดยไม่ต้องทิ้งดอกที่ต้มในครั้งแรก แล้วนำมาดื่ม (ดอกตัวผู้)
  5. ใช้เป็นยาสมุนไพรช่วยฟอกโลหิต
  1. ใช้ทำเป็นยาแก้กระษัย ด้วยการนำมาตากแห้งแล้วต้มกับน้ำผสมกับรากมังคุดและรากจูบู (ราก)
  2. ตำรายาพื้นบ้านใช้ส้มแขกทำเป็นยาบรรเทาอาการปวดท้องในสตรีมีครรภ์
  3. ส้มแขกมีสรรพคุณใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ
  4. ใบสดน้ำมารับประทานช่วยแก้อาการท้องผูก (ใบ)
  5. มีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะ
  6. รากใช้ทำเป็นยารักษานิ่ว ด้วยการนำมาตากแห้งแล้วต้มกับน้ำผสมกับรากมังคุดและรากจูบู (ราก)
  7. ผลส้มแขกมีสรรพคุณช่วยลดความอยากอาหาร ความรู้สึกหิวอาหาร
  8. ช่วยเร่งระบบการเผาผลาญอาหาร
  9. ช่วยดักจับแป้งและไขมันจากอาหารที่รับประทานเข้าไป
  10. สารสกัดจากส้มแขกช่วยทำให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนไหวตัวได้เร็วขึ้นและขับไขมันออกมา
  11. ส้มแขกลดน้ําหนัก เนื่องจากผลส้มแขกมีกรดมีกรดไฮดรอกซีซิตริก (HCA) มีสรรพคุณในการช่วยลดน้ำหนักและช่วยลดไขมันส่วนเกินของร่างกายได้
  12. มีคุณสมบัติช่วยสกัดกั้นการเปลี่ยนแปลงของคาร์โบไฮเดรต (อาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล) ไม่ให้เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมตามร่างกายได้ แต่จะนำไปเป็นพลังงานให้ร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย
  13. ส้มแขกลดความอ้วน ช่วยกระตุ้นให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมในร่างกายออกมาใช้เป็นพลังงาน ทำให้ไขมันที่สะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายลดน้อยลง ซึ่งจะทำให้ร่างกายมีน้ำหนักลดลงอย่างช้า ๆ ประมาณ 1 กิโลกรัมภายใน 3-4 อาทิตย์

 

ประโยชน์ของส้มแขก

  1. ใบแก่นำมาทำเป็นชาได้ แต่จะมีกลิ่นเหม็นเขียว (ใบแก่)
  2. ใบอ่อนส้มแขกใช้รองนึ่งปลา (ใบอ่อน)
  3. ประโยชน์ส้มแขก ผลสดใช้ทำแกงส้ม
  4. ประโยชน์ของส้มแขก ผลใช้ปรุงรสอาหารด้วยการนำมาผ่าเป็นชิ้นเล็ก ๆ เอาเยื่อและเมล็ดออก นำมาตากแห้งแล้วนำมาใช้ปรุงรสอาหารให้มีรสเปรี้ยว เช่น แกงส้ม แกงเลียง ต้มปลา ต้มเนื้อ แกงส้ม หรือใช้ทำน้ำแกงขนมจีน เป็นต้น หรือจะใช้ใบแทนผลก็ให้รสเปรี้ยวได้เช่นกัน (ผล, ใบ)
  5. มีการใช้ใบแก่ของส้มแขกมาผสมกับยางพารา เพื่อใช้ทำปฏิกิริยาให้น้ำยางพาราแข็งตัวเร็วขึ้น ด้วยการใช้ใบแก่ประมาณ 2 กิโลกรัมผสมกับน้ำ 10 ลิตรแล้วทิ้งไว้ประมาณ 1 อาทิตย์แล้วค่อยนำมาผสมกับยางพารา (ใบแก่)
  6. ลำต้นส้มแขกแก่ ๆ (อายุเกิน 30 ปีขึ้นไป) สามารถนำมาใช้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ หรือทำเป็นไม้แปรรูปใช้ในการก่อสร้างได้ (ลำต้น)
  7. มีการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อย่างหลากหลาย เช่น ชาส้มแขก น้ำส้มแขก ส้มแขกกวน แคปซูลส้มแขก ฯลฯ

 

 

Prune Powder

 

 

Prune Powder (ผงพลุนสกัด)

 

             เป็นผลไม้ที่มีสารไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytochemical) และแร่ธาตุสารอาหารสูง แต่กลับเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ ทั้ง ๆ ที่มีรสชาติหวานอร่อยและน้ำตาลที่มีอยู่ในลูกไหนก็เป็นน้ำตาลจากธรรมชาติที่มีประโยช­­­น์ต่อร่างกาย 
          โดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ พบว่าการรับประทานลูกไหนอบแห้ง หรือลูกพรุนจะช่วยควบคุมความอยากอาหารได้­­อีกด้วย ทำให้สามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีไฟเบอร์สูง ทำให้อาหารที่รับประทานเข้าไปยังคงอยู่ในท้องนานขึ้น ลดอาการหิวบ่อย ๆ และการรับประทานอาหารมากเกินพอดีได้อีก

            ในลูกพรุนจะประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ เหล็ก(Iron)เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าผู้หญิงเรานั้นในแต่ละเดือนต้องสูญเสียเลือดประจำเดือนไปเท่าไร ธาตุเหล็กจึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆที่ขาดไม่ได้ ใครอยากมีเลือดฝาดอย่ามองข้ามลูกพรุน
วิตามิน B2(Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระบวนการสร้างช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยเฉพาะกับผิวหนัง เล็บและผม
แคลเซียม(Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้เป็นปกติ
วิตามิน C(Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ(Anti-oxidant)เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายเมื่อเซลล์ถูกทำลายโอกาสการเป็นมะเร็งก็มีสูงขึ้น วิตามินcมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidantในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง ช่วยให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น
วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดงทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรและที่จะลืมกล่าวถึงไม่ได้คือ ลูกพรุนนั้นอุดมไปด้วยกากใยหรือไฟเบอร์สูงมาก มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย บรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นประโยชน์ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตปัจจุบันที่ฝากไว้กับอาหารถุง ซึ่งแทบจะไม่มีอะไรที่เป็นกากใยเลย ลูกพรุน

 

ประโยชน์ของลูกไหน ลูกพรุน สรรพคุณยอดเยี่ยมที่ไม่ควรพลาด
          ลูกพรุน เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงจึงมีประโยชน์ต่อร่างกายถึง­­­ขนาดนับว่าลูกไหนเป็นหนึ่งในซูเปอร์ฟู้ดที่ควรรับประทาน ประโยชน์ของลูกไหนมีทั้งบำรุงหัวใจ ช่วยในระบบขับถ่ายและอื่น ๆ อีกมากมายดังนี้
1. บำรุงสุขภาพหัวใจ
            ลูกพรุน อุดมไปด้วยโพแทสเซียมซึ่งมีส่วนในการควบคุมระดับความดันโ­­­ลหิต และช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย นอกจากนี้สีแดงอมม่วงในลูกพลัมยังอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ที่สามารถช่วยป้องการเกิดโรคมะเร็งที่มีสาเหตุจากการถูกทำลายขอ­­­งเซลล์จากสารอนุมูลอิสระอีกด้วย
2. ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
          ลูกไหน ลูกพรุน อบแห้ง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า ลูกพรุนนั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาท้องผูกหรือขับถ่ายลำบากได้ดีเลย­­­เชียวล่ะ เพราะลูกพรุน 1 ลูกก็มีปริมาณไฟเบอร์สูงถึง 1 กรัมเลยทีเดียว โดยสามารถจะรับประทานได้ทันที หรือจะนำไปใส่ในโยเกิร์ตกับเมล็ดพืชต่าง ๆ หรือจะนำไปแช่น้ำต้มสุกแล้วนำมารับประทาน แต่ถ้าใครชอบดื่มน้ำผลไม้ละก็สามารถหาซื้อที่คั้นเป็นน้ำสำเร็จ­­­รูปก็ช่วยในการขับถ่ายได้เช่นกัน
3. ลดระดับน้ำตาลในเลือด
          แม้ว่าลูกไหน ลุกพรุน จะมีรสชาติหวาน แต่กลับเป็นผลไม้ที่มีระดับดัชนีน้ำตาลในระดับที่ต่ำ ทำให้เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยเฉพาะผู้ป่วย­­­โรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างยิ่ง โดยจากการศึกษาของสำนักโภชนาการของประเทศแคนาดาก็ทำให้ทราบว่า การรับประทานลูกไหนสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
4. สร้างเสริมกระดูกหญิงวัยหมดประจำเดือนให้แข็งแรง
          นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยรัฐฟลอริดาและรัฐโอคลาโฮมา ได้ทำการศึกษาเรื่องโรคกระดูกพรุนกับหญิงวัยหมดประจำเดือน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรก รับประทานลูกไหนอบแห้งวันละ 100 กรัมต่อวัน และอีกกลุ่มรับประทานแอปเปิลอบแห้ง และทั้ง 2 กลุ่มจะได้รับอาหารเสริมวิตามินดีและแคลเซียม โดยการศึกษาพบว่า กลุ่มที่รับประทานลูกไหนอบแห้งจะมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อกระดูกใน­­­บริเวณกระดูกสันหลังและต้นแขนมากกว่ากลุ่มที่รับประทานแอปเปิล­­อ­บแห้งค่ะ จึงทำให้อาการของโรคกระดูกพรุนบรรเทาลงได้

5. บำรุงสมองและความจำ
          การรับประทานลูกไหนอบแห้งเพียงวันละ 4 ชิ้น ก็ทำให้เราได้รับสารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้น ซึ่งสารเหล่านี้จะไปช่วยต่อต้านการถูกทำลายของเซลล์สมองอันเนื่­­­องมาจากสารอนุมูลอิสระ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความจำ
6. ป้องกันริ้วรอยก่อนวัย 
          สารต้านอนุมูลอิสระในลูกไหนที่มาจากวิตามินซี นอกจากจะช่วยป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ในร่างกายแล้วก็ยังช่วย­­­ส่งเสริมการผลิตของคาร์นิทีน (Carnitine), นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) และคอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผิวพรรณยังคงดูอ่อนวัยและไร้ริ้วรอย
7. บำรุงสายตา
          นอกจากวิตามินซีและวิตามินเคแล้ว ลูกไหนก็ยังมีวิตามินเอ ซึ่งมีคุณสมบัติในการบำรุงสายตาอีกด้วย โดยเพียงลูกเล็ก ๆ ก็มีปริมาณของวิตามินเอ ถึง 8% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวันเลยเชียวล่ะ ไม่เพียงเท่านั้นวิตามินเอก็ยังช่วยสร้างเสริมการเจริญเติบโตขอ­­­งกระดูกได้อีกด้วย

 

Psyllium Husk Powder

 

Psyllium Husk Powder คืออะไร?

 

ผง Psyllium Husk ในชื่อ Latin: Plantago Ovata มันเป็นเมล็ดของเมล็ด มันใช้กันอย่างแพร่หลายในอาหารเพื่อสุขภาพยาเสพติดเครื่องดื่มและอาหาร ฯลฯ เพราะมันมีเส้นใยอาหารในน้ำละลายได้ เส้นใยอาหารที่มีมากกว่า 80% อัตราส่วนของน้ำที่ละลายน้ำได้และไม่ละลายเป็น 7: 3

นอกจากเส้นใยอาหารแล้วยังมีสารอาหารอื่น ๆ อีกเช่นน้ำตาลกลูโคสโปรตีนโพลีแซคคาไรด์วิตามินบี 1 และโคลีนเป็นต้น

 

หน้าที่ของ Psyllium Husk Powder

  1. การลดน้ำหนักการควบคุมน้ำหนัก (Weight Control) เนื่องจากเปลือก psyllium อุดมไปด้วยเส้นใยที่ละลายน้ำได้น้ำจะขยายตัวเป็นกลุ่มเจลหลายสิบครั้งสามารถเพิ่มความอิ่มตัว แต่ไม่ให้ความร้อน แต่ลดแคลอรี่ด้วย การหดตัว เนื่องจากน้ำ psyllium จะขยายตัวดังนั้นจึงสามารถเพิ่มความอิ่มแปล้และลดความอยากอาหารสารออกฤทธิ์ของเปลือก psyllium คือโมเลกุล polysaccharide ของคนที่เรียกว่า Arabynoxylan โมเลกุล polysaccharide พิเศษนี้สามารถดูดซับน้ำได้อย่างรวดเร็วการก่อตัวของวัสดุวางใสไม่สามารถย่อยในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ท้องและลำไส้เล็กและเฉพาะในลำไส้ใหญ่และทวารหนักเป็นส่วนหนึ่งของแบคทีเรียย่อยอาหารดังนั้น Psyllium ตั้งแต่ สมัยโบราณถูกใช้ในการถ่ายอุจจาระ Runchang; ในลำไส้เล็กในน้ำเพื่อสร้างมวลวางปรับปรุงอุจจาระและเงื่อนไขการหล่อลื่นผนังลำไส้ส่งเสริมความเร็วการถ่ายอุจจาระ ช่วยป้องกันการสูญเสียไขมันโปรตีนและสารอาหารอื่น ๆ เพื่อลดการปล่อยสารอาหารซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดูดซึมสารอาหารการทดสอบทางโภชนาการแสดงให้เห็นว่า Psyllium polysaccharides ที่กินได้จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลซึ่งจะมีบทบาทในการควบคุมน้ำหนักหรือลดน้ำหนัก
  2. มีเมล็ดยาระบาย Psyllium ส่วนประกอบที่มีประสิทธิภาพของเปลือกเมล็ดโมเลกุลของ polysaccharide เรียกว่า Arabynoxylanโมเลกุลโพลีแซคคาไรด์พิเศษนี้สามารถดูดซับน้ำได้อย่างรวดเร็วการก่อตัวของวัสดุโปร่งใสแบบวาง ในลำไส้เล็กเพื่อสร้างมวลวางน้ำสามารถปรับปรุงสภาพการหล่อลื่นของอุจจาระและผนังลำไส้ส่งเสริมอัตราการถ่ายอุจจาระดังนั้น Psyllium ตั้งแต่สมัยโบราณถูกนำมาใช้ในการถ่ายอุจจาระ Runchang การวิจัยด้านโภชนาการสมัยใหม่ได้พิสูจน์ว่า Psyllium polysaccharide ไม่ใช่แค่ Runchang และส่วนประกอบของน้ำหนักแห้งที่เพิ่มขึ้นของอุจจาระ Psyllium polysaccharide จะก่อให้เกิดอาการบวมของยาแก้ท้องเฟ้อในเวลาเดียวกันเมื่อเรากลืนผงเมล็ดและน้ำจะทำให้กลุ่มเจลมีปริมาตร 8-14 ครั้งสามารถรักษาความชื้นในอุจจาระและความนุ่มนวลในขณะที่กลุ่มเจลยังสามารถกระตุ้น ผนังลำไส้จะทำให้เกิดการหดตัวของการสะท้อนและส่งเสริมให้เกิดการล้างลำไส้ตามปกติ
  3. โรคหัวใจลดโคเลสเตอรอลในเลือด สำหรับคนอ้วนหลายโรคหัวใจเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพที่สำคัญนี้เป็นเพราะ LDL เกิดจากคอเลสเตอรอลสูงกินอาหารที่มีเส้นใยสูงสามารถลดคอเลสเตอรอล LDL ดังนั้นหากคุณสามารถกินอาหารมากขึ้นที่มีอาหารเส้นใยสูง, มีประโยชน์มากในการป้องกันโรคหัวใจ เส้นใย Psyllium ที่ละลายน้ำสามารถลดคอเลสเตอรอลในเลือด ในลำไส้ใหญ่ (ลำไส้ใหญ่) ในบทบาทของโปรไบโอติกคาร์โบไฮเดรตในเส้นใยอาหารจำพวกย่อยโดยการหมักจะถูกย่อยสลายเป็นกรดไขมันสั้น ๆ (Short Chain Fatty Acids) เพื่อป้องกันการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล University of Kentucky โรงเรียนแพทย์ในศูนย์วิจัยทางคลินิก New Orleans, Lexington และ Chicago ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการรักษาด้วยเส้นใยอาหารหลายชนิด ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าเส้นใยที่ละลายน้ำได้สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอลที่มีความหนาแน่นต่ำ (low-density lipoprotein หรือ LDL) ในขณะที่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงและมีไขมันต่ำ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) เปิดเผยว่าในปีพ. ศ. 2541 สารที่ละลายน้ำได้ในเปลือกหุ้มของ Psyllium สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
  4. ฟังก์ชั่นลำไส้ของเปลือก psyllium สามารถใช้เพื่อป้องกัน / รักษาท้องผูกหรือท้องร่วง รูปแบบยูทิลิตี้สามารถดูดซับความชื้นได้อย่างสมบูรณ์เพิ่มปริมาตรให้กับมวลการขับถ่ายเพิ่มการ peristalsis ของลำไส้ลดเวลาในการจัดส่งอุจจาระในลำไส้และค่อยๆกลายเป็นปกติ
  5. การป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และโรคระบบทางเดินอาหารอื่น ๆ ความเสี่ยงจำนวนมากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าเส้นใยไม่เพียง แต่สามารถป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร แต่ยังสามารถป้องกันโรคร้ายแรงบางรายงานการวิจัยเช่นการขาดใยอาหารการเจริญเติบโตของอาหาร สารตกค้างยังคงอยู่ในลำไส้และเพิ่มเวลาการติดต่อและสร้างสารก่อมะเร็งและเยื่อเมือกผนังลำไส้และง่ายต่อการทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือโรคอื่น ๆ มีโอกาส ไฟเบอร์สามารถเปลี่ยนชนิดและจำนวนจุลินทรีย์ในลำไส้ได้ นอกจากนี้เปลือก psyllium ยังมีบทบาทของยาแก้พิษ โดยการดูดซึมน้ำและสารอันตรายอื่น ๆ เพิ่มปริมาณมูลสัตว์โลหะหนักที่เป็นพิษและสารเคมีที่เป็นอันตรายอื่น ๆ จะถูกดูดซับบนก้านในก้นซึ่งจะช่วยลดความเข้มข้นของสารก่อมะเร็งหรือสารที่เป็นอันตราย ในเวลาเดียวกันส่งเสริม peristalsis ลำไส้เร่งการปลดปล่อยและลดเวลาในการติดต่อเยื่อเมือกในลำไส้ ดังนั้นจึงสามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ลำไส้อักเสบและโรคลำไส้อื่น ๆ
  6. การควบคุมน้ำตาลในเลือดโรคเบาหวานช่วยลดน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร ในเวลาเดียวกันผ่านการแทรกแซงของโรคเบาหวานหญ้าเปลือก psyllium สามารถช่วยลดความจำเป็นในการอินซูลินในผู้ป่วยที่มีปริมาณน้ำตาล
  7. การมาถึงของ colonic diverticulitis caelian shell ปริมาณวัสดุที่เพิ่มขึ้น แต่ยังเพิ่ม peristalsis ลำไส้ลดแรงกดบนผนังกระเพาะอาหาร กฎระเบียบนี้เป็นประโยชน์ในการลดอาการของโรคถุงลมอัมพาตหรือแม้กระทั่งการป้องกันการเริ่มมีอาการของโรคประสาทอักเสบ
  8. การควบคุมน้ำหนักเพราะเปลือก psyllium อุดมไปด้วยเส้นใยที่ละลายน้ำน้ำจะขยายตัวในรูปแบบกลุ่มเจลหลายสิบครั้งสามารถเพิ่มความอิ่มแปล้จะไม่ให้พลังงาน แต่ยังช่วยลดปริมาณแคลอรี่

 

Spinach Powder ผงผักโขม

 

Spinach Powder ผงผักโขม

 

สารสกัดผักโขม อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด จึงมีส่วนช่วยในการชะลอวัยและความเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกาย ช่วยส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้ ช่วยบำรุงและรักษาสุขภาพสายตา ป้องกันความเสื่อมของดวงตา ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน


หน้าที่ ของผักโขมผง

1. รักษาอาการหดตัวและป้องกันโรคของนักบุญเฟียร์เรซ ผักโขมมีเส้นใยผักมากมาย มันสามารถส่งเสริมการ peristalsis ลำไส้และดีที่จะถ่ายอุจจาระ; นอกจากนี้ยังสามารถส่งเสริมตับอ่อนเพื่อขับถ่ายเพื่อช่วยย่อยอาหารสามารถใช้รักษาโรคของนักบุญเฟียร์เรย์ตับอ่อนอักเสบเรื้อรังช่องคลอดและช่องคลอดทวารหนัก ฯลฯ 
2. ส่งเสริมการเจริญเติบโตและเพิ่มความต้านทานโรค แคโรทีนสามารถกลายเป็นวิตามินเอในร่างกายและรักษาสุขภาพของดวงตาและเยื่อบุ 
3.Guaranteeing nourishments เพื่อปรับปรุงสุขภาพร่างกาย มันมีสารอาหารมากมายเช่นแคโรทีนวิตามินซีและอีแคลเซียมฟอสเฟอร์โคเอนไซม์คิวเท็น ฯลฯ ไขมันที่มีผักโขมสามารถช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้ 
4. การส่งเสริมการเผาผลาญอาหารและต่อต้านริ้วรอย ทำความสะอาดและต่อต้านริ้วรอย

 

วีทกราส (Wheat grass)

วีทกราส (Wheat grass)

 

วีทกราส (Wheat grass) เป็นต้นอ่อนของข้าวสาลี มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Triticum aestivum มีประวัติการใช้มาอย่างยาวนานกว่า 5,000 ปีมาแล้วตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ ซึ่งใช้ในด้านการบำรุงสุขภาพ และเป็นยาอายุวัฒนะ การศึกษาในด้านพฤกษเคมี (Phytochemical) พบว่า น้ำวีทกราสนี้มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน หลายชนิด รวมถึงคลอโรฟิลด์ด้วย

มีการใช้น้ำวีทกราสในการรักษาโรคต่างๆที่เกี่ยวกับกระเพาะและลำไส้มานานกว่า 30 ปีแล้ว และมีงานวิจัยเชิงทดลองแบบมีกลุ่มควบคุม ที่ทำเกี่ยวการศึกษากับโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ (Ulcerative Colitis) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดเฉพาะบริเวณลำไส้ใหญ่เท่านั้น โดยในระยะเฉียบพลันของโรค ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรง ถ่ายปนมูกหรือเลือดสด อาการแสดงขึ้นอยู่กับความรุนแรงและตำแหน่งของการอักเสบ หากเกิดที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายสุด จะมีอาการปวดถ่ายตลอดเวลา การวิจัยนี้ทดลองคนไข้ โดยดื่มน้ำวีทกราสวันละ 100 มิลลิลิตร ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 1 เดือน พบว่า ช่วยบรรเทาอาการโดยรวมของโรคให้ดีขึ้น ลดความรุนแรงของการถ่ายเป็นเลือด และจำนวนครั้งของการบีบตัวของลำไส้ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในการศึกษาเกี่ยวกับผู้ป่วยที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) ซึ่งเป็นโรคความผิดปกติทางพันธุกรรมของเม็ดเลือดแดง ทำให้เกิดอาการโลหิตจาง มีงานวิจัยที่ทำกับผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคธาลัสซีเมียในระดับรุนแรงจำนวน 40 คน โดยให้รับประทานวีทกราสชนิดเม็ด พบว่า มีศักยภาพที่จะเพิ่มระดับฮีโมโกลบิน ช่วยยืดระยะเวลาการถ่ายเลือดออกไป และยังช่วยลดจำนวนเลือดที่ใช้ในการถ่ายเลือดด้วย อีกงานวิจัยหนึ่ง พบว่า การให้คนไข้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียในระดับรุนแรง ดื่มน้ำวีทกราส 100 มิลลิลิตร ทุกวัน เป็นระยะเวลา 1 ปี ช่วยลดปริมาณเลือดที่ใช้ในการถ่ายเลือด รวมถึงช่วยลดจำนวนครั้งในการถ่ายเลือดลงอีกด้วย

นอกจากนี้น้ำวีทกราสยังป้องกันการเกิดภาวะโลหิตจาง ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการได้รับเคมีบำบัดได้ดี โดยพบว่าในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ดื่มน้ำวีทกราส วันละ 60 มล. ตลอดระยะเวลาการได้รับเคมีบำบัด ทั้ง 3 รอบ ช่วยป้องการเกิดภาวะโลหิตจาง (anemia) ได้ดี มีผลเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่มีผลต่อการตอบสนองการได้รับการรักษาจากเคมีบำบัดของ

ผู้ป่วย และการศึกษาในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ที่ดื่มน้ำวีทกราส วันละ 30 มล. ติดต่อกัน 6 เดือน พบว่าช่วยเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบิน เกล็ดเลือด และเพิ่มภูมิต้านทานได้ดี ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การศึกษาฤทธิ์อื่นที่น่าสนใจ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในอาสาสมัครที่ได้รับสารก่ออนุมูลอิสระ BPA (biphenol-A) ผ่านทางสิ่งแวดล้อม เมื่อให้ดื่มวีทกราส วันละ 100 มล. ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ พบว่าปริมาณสาร BPA ในปัสสาวะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยแนวโน้มการลดลงของ BPA สัมพันธ์กับระยะเวลาที่ดื่มวีทกราส

ปัจจุบัน มีการพัฒนาวีทกราสขึ้นมาในรูปเครื่องดื่มชนิดชงละลายทันที เพื่อความสะดวกของผู้บริโภค มีการเสริมคุณประโยชน์เพิ่มเข้าไปโดยผสมสารอาหารต่างๆที่มีประโยชน์เข้าไป เช่น วิตามิน ใยอาหารอินนูลิน ผักและผลไม้รวม ชาเขียว เพื่อเสริมคุณค่าของผลิตภัณฑ์ให้มากยิ่งขึ้นจะเห็นได้ว่าวีทกราสในรูปเครื่องดื่มชนิดชง มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งในแง่ของการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงในผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจาง ป้องกันการเกิดอันตรายจากอนุมูลอิสระ และรักษาอาการลำไส้อักเสบ โดยไม่พบความเป็นพิษหรืออาการข้างเคียงใดๆ

แต่อย่างไรก็ตามควรระมัดระวังการใช้ในเด็กอ่อน หรือสตรีมีครรภ์ เนื่องจากยังไม่มีรายงานด้านความปลอดภัย อีกน้ำวีทกราสจะมีกลิ่นเหม็นเขียวคล้ายหญ้า จึงอาจกระตุ้นให้เกิดการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นดังกล่าวได้

 

ประโยชน์

1. เพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงและช่วยลดความดันเลือด

2. ทำความสะอาดเลือด, อวัยวะและทางเดินอาหาร                      

3. ต้นข้าวสาลีอ่อนยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญอาหารของร่างกายและระบบเอนไซม์ของเลือดนอกจากนี้ยังช่วยในการลดความดันโลหิตโดยการขยายทางเดินเลือดทั่วร่างกาย

4. กระตุ้นต่อมไทรอยด์การแก้ไขโรคอ้วน, อาหารไม่ย่อย

5. ปรับสมดุลความเป็นกรด-ด่างของเลือด, แร่ธาตุที่เป็นด่างจะช่วยลดความเป็นกรดมากเกินไปในเลือด 

6. สามารถบรรเทาอาการปวดภายใน, รักษาแผลในกระเพาะอาหาร, อาการลำไส้ใหญ่บวม, ท้องผูกท้องเสียและโรค อื่น ๆ ของระบบทางเดินอาหาร

7. มีประสิทธิภาพล้างสารพิษในตับและเลือด

8. เอ็นไซม์และกรดอะมิโนที่พบในต้นข้าวสาลีอ่อนสามารถปกป้องเราจากสารก่อมะเร็ง ที่เราได้รับจากอาหาร ยา และมลพิษต่างๆ เพราะวีทกราสสามารถเพิ่มออกซิเจนให้กับเซลล์ในร่างกาย แต่เซลล์มะเร็งอยู่ไม่ได้ในที่มีออกซิเจน

9. การศึกษาล่าสุดแสดงให้เห็นว่าน้ำต้นข้าวสาลีอ่อนมีความสามารถที่มีประสิทธิภาพที่จะต่อสู้กับเนื้องอก และสารพิษโดยไม่มีความเป็นพิษตกค้างในร่า่งกาย

10.สารที่พบในน้ำหญ้าทำความสะอาดเลือดและปรับสภาพ สามารถย่อยสลายสารพิษในเซลล์ของเรา

11. การทานน้ำวีทกราสสดๆ ทำให้ได้เอนไซม์ที่ที่มีชีวิต เราสามารถได้รับประโยชน์จากเอนไซม์จำนวนมากที่พบในหญ้า เอ็นไซม์จะถูกทำลายหมดไปถ้าเรานำไปผ่านความร้อน เช่น การ Pasturize ,Sterize,UHT. บรรจุลงกล่องหรือขวด เพื่อเป็นการยืดอายุ
12. ในน้ำวีทกราสมีรงควัตถุสีเขียว คลอโฟิลล์ ที่มีโมเกุลมคล้ายคลึงกับ เม็ดเลือดของมนุษย์. โดยเม็ดเลือดหรือที่เรียกว่าเฮโมโกลบิน มีหน้าที่พาออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย

13. ต้นข้าวสาลีอ่อนกระตุ้นการทำความสะอาดอย่างรวดเร็วของลำไส้ สามารถลดเศษซากอาหารที่ตกค้างอยู่ในลำไส้

 14.นำมาใช้กับผิวภายนอกสามารถช่วยขจัดอาการคันเกือบจะในทันที

15.ทำหน้าที่เป็นยาฆ่าเชื้อ. ลูบลงในหนังศีรษะก่อนสระผมจะช่วยซ่อมผมเสียและบรรเทาอาการคัน

16.นำวีทกราส มาพอกรักษาอาการผิวหนังที่ถูก เผาไหม้, เป็นผื่นคัน, เท้าของนักกีฬา, แมลงกัดต่อย, น้ำร้อนลวก, ฝี, แผลเปิด, เนื้องอก, และอื่น ๆ . ใช้เป็นยาพอกและแทนที่ทุก 2-4 ชั่วโมง

17.ขจัดสารพิษเช่นแคดเมียม, นิโคติน, Strontium, ปรอท, และโพลีไวนิลคลอไรด์

 18.ช่วยให้ผมกลับมาเป็นสีดำตามธรรมชาติอีกครั้ง แก้ผมหงอก

19. ต้นข้าวสาลีอ่อนจะทำความสะอาดเลือดและช่วยฟื้นฟูเซลล์ชรา, ชะลอริ้วรอย กระบวนการเสื่อมของร่างกายต่างๆจะชะลอลง ทำให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง 

20. เอนไซม์ที่พบในต้นข้าวสาลีอ่อน, SOD, จะลดผลกระทบจากการใช้รังสีและทำหน้าที่เป็นสารต้านการอักเสบที่อาจป้องกันความเสียหายของเซลล์ร่างกาย