การผลิตอาหาร ตามหมวดการบำรุงร่างกาย

หน้าแรก / บริการของเรา

สรรพคุณสารสกัด ปกป้องผิวจากแสง UV

 

Acerola cherry Extract

 

Acerola cherry Extract

 

อะเซโลรา เชอร์รี่ (Acerola Cherry)  เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ คือ วิตามินซี มีโปรตีนและแร่ธาตุสูงโดยเฉพาะ เหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม และมีสาระสำคัญตัวหนึ่งชื่อ trans-beta-carotene ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย มีปริมาณของไขมันอิ่มตัว และโซเดียมต่ำ ไม่มีคลอเลสเตอรอล และจากผลการวิจัยพบว่า อะเซโรลา เชอร์รี่ มีปริมาณวิตามินซีสูงกว่าที่พบในส้มถึง 65 เท่า ซึ่งรายละเอียดของประโยชน์ของ อะเซโรล่าเชอร์รี่ ยังมีอีกมากมาย

 

อะเซโรลาเชอร์รี่มีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อผิวพรรณของผู้บริโภค

1. เร่งสร้างเสริมคอลลาเจน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอลลาเจน เนื่องจากอะเซโรลาเชอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง จึงช่วยเร่งการสร้างเสริมสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวเต่งตึง จึงทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัยและทำให้ผิวยังคงกระชับและยืดหยุ่นอยู่เสมอ

จากงานวิจัยหนึ่งที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร American Journal of Nutrition แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่มีอายุเกิน 40 ปี และบริโภควิตามินซีปริมาณสูงในการรับประทานอาหารทุกวันจะมีโอกาสเกิดรอยเหี่ยวย่นใบหน้าได้น้อยกว่าผู้หญิงอายุเท่ากันที่บริโภควิตามินซีในปริมาณที่น้อยกว่า  นักกำหนดอาหาร โจ ทราเวอร์ (Jo Travers) กล่าวว่า วิตามินซีเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อการก่อตัวของคอลลาเจน หากไม่มีแล้ว กรดอะมิโนจะไม่เชื่อมโยงกันจนเกิดเป็นคอลลาเจนได้

2. ทำหน้าที่เป็นตัวสมานผิว พร้อมลดเลือนริ้วรอย ประโยชน์อีกอย่างประการหนึ่งของอะเซโรลาเชอร์รี่ต่อผิวหนังคือเป็นตัวช่วยลดเลือนริ้วรอยต่างๆ บนผิวหนัง เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง และกระทั่งช่วยในเรื่องระบบทางเดินอาหารได้ นอกจากนั้น น้ำจากเชอร์รี่ดังกล่าวสามารถใช้เป็นยาน้ำป้วนปากที่ทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลชีพได้อีกด้วย

3. ปกป้องผิว การบริโภคอะเซโรลาเชอร์รี่เป็นประจำจะช่วยทำให้ผิวของคุณจะได้รับการปกป้องจากตัวทำให้เกิดความตึงเครียด จากสารเคมี (Chemical Stressor) อย่างควันบุหรี่ มลพิษ และสารที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

4. เร่งการฟื้นฟูสภาพผิว อีกทั้ง อะเซโรลาเชอร์รี่สามารถช่วยเร่งการฟื้นฟูซ่อมแซมบาดแผล แผลไฟไหม้ แผลเป็น และกระทั่งรอยแตกลายได้ด้วย

5. ต่อสู้กับการเสื่อมสภาพของผิว ไบโอฟลาโวนอยด์เป็นส่วนสำคัญในการชะลอการเสื่อมสภาพของผิวออกไป ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ยังช่วยต่อสู้กับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ริ้วรอยร่องตื่น รอยตีนกา รอยใต้โหนกแก้ม จุดด่างดำ รอยหมองค้ำ ฯลฯ

6. ต่อต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีที่มีอยู่มากใน Acerola Cherry ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวหนังของคุณจากการถูกทำลายได้ เนื่องจากอนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรทำให้ผิวหนังอ่อนแอลงและถูกทำลายในที่สุด อีกทั้ง อนุมูลอิสระเหล่านี้สามารถนำไปสู่การเจ็บป่วยและโรคเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ (8)

7. ซ่อมแซมเซลล์ผิวเสีย อะเซโรลาเชอร์รี่ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และบี 3 ซึ่งทั้งหมดช่วยทำให้ผิวสวยงามและเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น

• วิตามินเอช่วยให้ผิวหนังสามารถต่อสู้กับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าที่ทำให้เกิดผิวเสียได้ (9)

• ส่วนวิตามินบี — บี 1 บี 2 บี 3 — จะช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย (10)

• (เพิ่มเติม) – วิตามิน บี 5 ใน อะเซโรล่าเชอร์รี่ ยังช่วยลดระดับคอสเลสเตอรอล ซึ่งในระยะยาวช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคหัวใจได้

8. ทำให้ผิวขาวขึ้น หากคุณบริโภคอะเซโรลาเชอร์รี่เป็นประจำ จะพบว่าผิวของคุณจะขาวขึ้น กระจ่างใสขึ้น และมีโทนสีผิวดีขึ้นโดยไม่ทำให้โทนสีผิวผิดเพี้ยนไปและเกิดรอยตำหนิขึ้นมา อีกทั้ง ผิวที่เกิดจากการสร้างเม็ดสีมากผิดปกติอย่างกระและจุดเม็ดสีที่มีสาเหตุจากวัยจะมีสีที่สว่างขึ้นตามโทนสีผิวของคุณ ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้ผิวพรรณของคุณมีสุขภาพดีขึ้นตามธรรมชาติ

9. ปกป้องจากรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อผิว ประโยชน์ต่อผิวหนังอีกประการหนึ่งของอะเซโรลาเชอร์รี่ คือ สามารถปกป้องคุณจากรังสียูวีได้ โดยปริมาณวิตามินเอในอะเซโรลาเชอร์รี่จะช่วยปกป้องผิวหนังของคุณจากรังสีจากดวงอาทิตย์ที่เป็นอันตรายได้ เพราะหากคุณสัมผัสกับรังสียูวีมากจนเกินไปจะทำให้ผิวเสีย ซึ่งในกรณีเลวร้ายที่สุดนั้นจะนำไปสู่มะเร็งผิวหนังที่ไม่มีต้องการให้เกิดขึ้นได้ (13)

10. ทำให้ผิวชุ่มชื้น สารอาหารต่างๆ มากมายในอะเซโรลาเชอร์รี่จะช่วยทำให้ผิวหนังของคุณอิ่มน้ำและคงความชุ่มชื้นไว้ได้ ไม่ว่าผิวของคุณจะเป็นประเภทใดก็ตาม สุขภาพและสภาพของผิวหนังนั้นขึ้นกับความชุ่มชื้นเป็นหลัก หากผิวหนังไม่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอแล้ว กระบวนการต่างๆ ทางธรรมชาติของผิวอย่างการผลัดเซลล์ผิวผิดปกติไป และอาจนำไปสู่สภาพผิวที่อักเสบได้

ผิวหนังของคนเราทำหน้าที่เป็นกำแพงป้องกันร่าวกายจากการติดเชื้อต่างๆ หากผิวแห้งจนเกินไปจะเกิดการแตก ทำให้แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังสามารถเข้าสู่ร่างกายและก่อให้เกิดการติดเชื้อได้

นอกเหนือไปจากนี้ การทำให้ผิวอิ่มน้ำอยู่เสมอครับจะเป็นประโยชน์ต่อคุณในระยะยาว โดยเมื่อคุณมีอายุมากขึ้น การเสื่อมสภาพของผิวอาจน้อยกว่าที่ควรจะเป็นเนื่องจากคุณได้เติมความชุ่มชื้นให้กับผิวไว้ในช่วงที่อายุยังน้อยนั่นเอง (15)

11. จัดการกับสิ่วและปัญหาผิวหนังอื่นๆ ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับผิวอย่างสิว โรคสะเก็ดเงิน และผิวหนังอักเสบนั้นมักเกิดจากผิวหนังขาดวิตามินซีทั้งสิ้น (16)  แต่ด้วยอะเซโรลาเชอร์รี่มีวิตามินซีตามธรรมชาติสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีนี้ตามปกติจะช่วยให้คุณไม่ต้องเจอกับปัญหาที่เกี่ยวกับผิวหนังเหล่านั้นอีกต่อไป

วิตามินซียังมีประสิทธิภาพในการกำจัดสิวและแผลเป็น เพราะมันช่วยเร่งกระบวนการสมานแผลและการลดรอยแดงของร่างกาย  และวิตามินซีนี้ยังช่วยลด Cortisol ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวอีกด้วย การรักษาระดับฮอร์โมนความเครียด Cortisol จะช่วยผู้ป่วยโรคไทรอยด์ให้รักษาระดับแคลเซียมไว้อีกด้วย

 

 

 

กรดอัลฟาไลโปอิค (Alpha Lipoic Acid) คืออะไร

December 23, 2014

 

กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid ; ALA) เรียกสั้นๆว่ากรดไลโปอิก หรือบางคนรู้จักในชื่อ Thioctic acid กรดอัลฟาไลโปอิก เป็นสารอาหารประเภทหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายวิตามิน โดยทำหน้าที่เป็น Coenzyme ในขบวนการเผาผลาญน้ำตาล และสารอาหารอื่น ๆ ให้เป็นพลังงาน โดยปกติ ร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ กรดอัลฟาไลโปอิคได้เองอยู่แล้ว ในปริมาณคงที่ ซึ่งร่างกายเราผลิตได้ในจำนวนที่เพียงพอ ต่อการช่วยไมโตคอนเดรีย (mitochondria) เปลี่ยนกลูโคสไปเป็นพลังงานเท่านั้น ไม่ได้ผลิตให้เหลือพอ ที่จะใช้ต่อต้านความเสื่อมชราของเซลล์ หรือเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย

 

กรดไลโปอิค เป็นสารต้านออกซิเดชั่นที่ทรงพลัง ในการต่อสู้กับอนุมูลอิสระ ที่ปรากฏอยู่ใน ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) ภายในเซลล์ นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า อนุมูลอิสระภายใน ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) มีบทบาทสำคัญในการทำให้คนแก่ตัวลง จึงตั้งทฤษฎีว่า ถ้าให้สารยับยั้งออกซิเดชั่น อย่างกรดไลโปอิค ก็น่าชะลอความแก่ได้ กรด ไลโปอิคยังช่วยรีไซเคิลวิตามินอี และ วิตามิน ซี ให้กลับเป็นรูปเดิม หลังจากวิตามินอี และ วิตามินซี ไปล้างพิษอนุมูลอิสระเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังมีหลักฐานว่า ช่วยลดความเสียหาย เวลาร่างกายมีน้ำตาลในเลือดมากไป ซึ่งอาจทำให้คนไข้เบาหวานดีขึ้น สารนี้ก็กำลังอยู่ในระหว่างการวิจัยดูว่า จะชะลอความแก่ได้หรือไม่เนื่องจากกรดอัลฟาไลโปอิค มีบทบาทหลักในการย่อยเผาผลาญน้ำตาล ให้เป็นพลังงาน จึงมีผลช่วยให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นไปได้ดีขึ้น

 

กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid ; ALA) มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีคุณสมบัติพิเศษสามารถละลายได้ทั้งในน้ำ และในไขมันได้ เป็นตัวที่ทำให้วงจร ของสารต้านอนุมูลอิสระครบสมบูรณ์ พบกรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid ; ALA) ปริมาณน้อยในแหล่งอาหารธรรมชาติ ซึ่งพบได้ในผักขม บร็อกโคลี่ และยังพบในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ในเครื่องในได้จากตับและหัวใจ ประโยชน์ที่ได้รับ มีส่วนสำคัญในการเผาผลาญอาหาร โดยเฉพาะการเปลี่ยน Glucose เป็นพลังงาน โดยที่ กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid ; ALA) เสริมการทำงานของวิตามิน E และ C ช่วยในการนำสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน C กลับมาใช้ ช่วยในการนำกลูโคสเข้าเซลล์ ปลอดภัยเมื่อได้รับในขนาดปกติ นอกจากนี้กรดอัลฟาไลโปอิก ยังได้รับการขนานนามว่าเป็น Universal Antioxidant เนื่องจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรง และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินซี อี, Glutathione หรือ Co-enzyme Q10 ให้กลับมาอยู่ในรูปที่ใช้งานได้อีก หลังจากที่ใช้ในการกำจัดอนุมูลอิสระไปแล้ว ด้วยคุณสมบัติของกรดอัลฟาไลโปอิก คือ สามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน สามารถซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าไปในชั้นลึกสุดของเซลล์ระดับ DNA จึงสามารถแทรกซึมไปชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ทั่วเซลล์ในร่างกาย ในขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น CoQ10 ที่ละลายได้เพียงในส่วนน้ำมันในร่างกาย ทำให้กรดอัลฟาไลโปอิคมีคุณสมบัติเหนือกว่า 4-5 เท่า และมีฤทธิ์แรงกว่า วิตามินอี และวิตามินซี 50 เท่า

 

จากความสามารถที่เป็น Universal Antioxidant จึงทำให้ร่างกายสามารถดูดซึม กรดอัลฟาไลโปอิกเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย ซึ่งจะช่วยในการกำจัดสารพิษที่อยู่ในร่างกายได้เป็นอย่างดี และ กรดอัลฟาไลโปอิกยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานของกลูตาไธโอน ซึ่งมีหน้าที่ขจัดสารพิษในตับ

 

นอกจากนี้ จากงานวิจัยบางส่วนยังพบว่า กรดอัลฟาไลโปอิก ยังต่อต้านการอักเสบที่ทำให้เกิดสิว ช่วยรักษาการอักเสบของสิว กรดอัลฟาไลโปอิกทำให้ผิวสะอาด โดยการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ดังนั้นจึงสามารถป้องกันการเกิดสิว และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนของเลือดไปยังประสาท ดังนั้นผิวก็จะได้รับสารอาหารที่จำเป็นในการบำรุง ช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสขึ้น

 

Ascorbic Acid

 

Ascorbic Acid(วิตามินซี)

 

ประวัติวิตามินซี
วิตามิน ซี ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1920 โดย Drummond แต่ยังไม่ได้กำหนดชื่อ ในปี ค.ศ. 1928 Szent-Gyorgy นักเคมีชาวฮังการี ได้สกัดสารที่เขาตั้งชื่อให้ว่า Hexuronic acid จากส้ม และกะหล่ำปลี และปี ค.ศ. 1932 Waugh และ King นักเคมีมหาวิทยาลัยฟิตส์เบร์ก ไดสกัดสาร ที่ชื่อว่า antiscorbutic subtance จากมะนาวได้ และต่อมาเป็นที่พิสูจน์ว่าเป็นสารชนิดเดียวกับ Hexuronic acid ที่ Szent-Gyorgy สกัดได้ จนในปี ค.ศ. 1933 Szent ได้ตั้งชื่อสารนี้ว่า Covitamic acid และต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อ Ascorbic acid หรือ Vitamin C ขึ้นใช้เป็นครั้งแรกจนถึงทุกวันนี้ (Moser และ Bendich, 1991)(1), (Nagy, 1980)(2)

 

คุณสมบัติทางเคมี


– สูตรโมเลกุล C6H8O6
– น้ำหนักโมเลกุล 176.1
– จุดหลอมเหลว 192 องศาเซลเซียส
– สถานะ : ผลึกสีขาว ไม่มีกลิ่น เมื่อสัมผัสน้ำจะเปลี่ยนเป็นสีดำ
– ละลายได้ดีในน้ำ และแอลกอฮอล์ ไม่ละลายในตัวทำละลาย เช่น ไขมัน โคโลฟอร์ม อีเทอร์ ปิโตรเลียมอีเทอร์ และเบนซีน เป็นต้น โลหะที่เป็นตัวกระตุ้นการละลายได้ดี ได้แก่ เหล็ก และทองแดง
– ละลายน้ำ (อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส) ได้ความเข้มข้น 0.5 โมลาร์
– มีความคงตัวในสารละลายที่เป็นกรด แต่หากเป็นด่าง ความร้อน และออกซิเดชันเมื่อสัมผัสกับอากาศจะทำให้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างได้ง่าย
– วิตามินซีสามารถทำปฏิกิริยากับโลหะได้หลายชนิดกลายเป็นเกลือของวิตามินซี

 

หน้าที่ และสรรพคุณวิตามินซี


1. ทำหน้าที่เป็นโคแฟกเตอร์ของเอนไซม์ ช่วยรักษาอนุมูลเหล็กของเอนไซม์ ทำให้เอนไซม์ในร่างกายทำงานได้ตามปกติ

2. ช่วยสร้างคอลาเจนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูก ฟัน และผนังเส้นเลือด โดยทำหน้าที่เป็นโคแฟกเตอร์ของเอนไซม์โปรลีล ไฮดรอกซีเลส (prolyl hydroxylase) และไลซีล ไฮดรอกซีเลส (lysyl hydroxylase) ในปฏิกิริยาการสร้างคอลาเจน

3. วิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารแอนติออกซิเดนซ์ (antioxidant) ช่วยป้องกันการหืนจากการเกิดอนุมูลอิสระในอาหารต่าง และทำหน้าที่เป็นสารต้าน และทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย ทำให้เซลล์ในร่างกายไม่เสื่อมสภาพเร็ว ผิวพรรณแลดูสดใส และอ่อนกว่าวัย

4. วิตามินซีทำหน้าที่ช่วยดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายให้ง่ายขึ้น โดยทำหน้าที่รีดิวซ์เหล็กในรูปเฟอร์ริก (Fe+3) เปลี่ยนเป็นเหล็กในรูปเฟอร์รัส (Fe+2) ที่สามารถดูดซึมผ่านลำไส้ได้ มีผลช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง

5. ทำหน้าที่ถ่ายทอดอิเล็กตรอนให้แก่เซลล์ตับในกระบวนการการสร้างน้ำดี และกระบวนการทางเคมีของเซลล์ตับอื่นๆ จึงเป็นสารที่ช่วยบำรุงตับได้เป็นอย่างดี ช่วยป้องกันโรคตับ และลดวามเป็นพิษจากสารเคมีที่อาจเกิดต่อตับ

6. วิตามินซีเป็นสารต้านพิษ nitrosamin ที่เป็นสารสำคัญทำให้เกิดพิษแก่ตับ ไต และเป็นสารก่อมะเร็ง โดยทำหน้าที่เข้าจับกับไนไตรท์ (2HNO2) ทำให้ลดปริมาณการเปลี่ยนไนไตรท์ เป็นสารประกอบ nitrosamin ที่เป็นพิษ

7. วิตามินซีทำหน้าที่สลายสารพิษต่างๆในร่างกาย โดยเป็นสารป้องกันการเกิดออกซิไดซ์ที่เป็นสาเหตุการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย และให้อิเล็กตรอนแก่อนุมูลอิสระในร่างกายเปลี่ยนเป็นสารอื่นที่ร่างกายสามารถกำจัดออกได้ง่ายขึ้น

8. วิตามินซีทำหน้าที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยช่วยกระตุ้นเซลล์ปลดปล่อยสารสำคัญสำหรับป้องกันเชื้อโรคในร่างกาย และเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอม และเชื้อโรคต่างๆ

9. ป้องกันการเกิดโรคลักปิดลักเปิดที่มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ เช่น ตามไรฟัน เนื่องจากการขาดวิตามินซีทำการสังเคราะห์คอลาเจนลดลง ทำให้หลอดเลือดฝอยไม่แข็งแรง และแตกง่าย

 

การเกิดโรคลักปิดลักเปิดที่ทำให้เลือดออกตามไรฟัน มักพบเหงือกบวมอักเสบ เหงือกมีสีเขียวคล้ำ และเลือดออกง่าย หากมีการติดเชื้อร่วมด้วย จะพบเหงือกเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น ฟันโยกหลุดง่าย มีเลือดเลือดออกที่ผิวหนังเป็นจุดเล็กๆ หรือเป็นปื้นใหญ่ ผู้ป่วยที่เป็นมากจะมีเลือดออกในกล้ามเนื้อเยื่อบุตา อวัยวะทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ  เยื่อบุช่องท้อง ถุงเยื่อหุ้มหัวใจ  เยื่อหุ้มกระดูก เป็นต้น

10. วิตามินซีช่วยกระตุ้นการผลิตคอลาเจนที่เป็นส่วนสำคัญในการรักษา และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เป็นแผล ทั้งแผลที่เกิดจากการผ่าตัด แผลจากอุบัติเหตุ แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ดังนั้น ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดใหม่หรือเกิดแผลที่ร่างกายมักจะให้อาหารเสริมจำพวกวิตามินซีร่วมด้วย

11. วิตามินซีช่วยรักษาอาการเป็นหวัด

 

Co Enzyme Q10 (โคเอนไซม์คิวเท็น)

 

  • โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต มีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างพลังงาน หากอายุมากขึ้นโคเอนไซม์คิวเทนในร่างกายจะลดลง ซึ่งอาจสัมพันธ์กับการเกิดโรคได้หลายชนิด เช่น โรคชรา นอกจากนี้ความเครียด การติดเชื้อ การรับประทานอาหารไม่มีประโยชน์ อาจทำให้ปริมาณ Coenzyme Q10 ในร่างกายไม่เพียงพอ
  • ศัตรูของโคเอนไซม์คิวเทน ได้แก่ การเก็บอาหารไว้เป็นเวลานานและกระบวนการแปรรูปอาหาร
  • แหล่งที่พบโคเอนไซม์คิวเทนตามธรรมชาติ ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ตับ ไต หัวใจ น้ำมันปลา ปลาทะเลน้ำลึก ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์จากนม น้ำมันถั่วเหลือง ผัก รำข้าว ซีเรียล น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น

ประโยชน์ของโคเอนไซม์คิวเทน

  1. โคเอนไซม์คิวเทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต มีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างพลังงาน
  2. มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เพราะถ้าหากร่างกายขาด Coenzyme Q10 เซลล์ในร่างจะหยุดทำงานทันที !
  3. มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดริ้วรอยและชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง
  4. Coenzyme Q10 มีคุณสมบัติคล้ายกับวิตามินอี ช่วยเสริมการทำงานของหัวใจ เพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  5. ช่วยรักษาโรคเหงือก ชะลอความผิดปกติและการดำเนินของโรคพาร์กินสันได้
  6. สำหรับผู้สูงอายุหลาย ๆ คนแล้วการรับประทานโคคิว 10 จะทำให้ร่างกายรู้สึกเหมือนมีพลังขึ้นมาทันที
  7. เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เพราะโคคิว 10 จะไปช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกได้ดีกว่ายาแผนปัจจุบัน
  8. เชื่อว่าสามารถช่วยรักษาและป้องกันโรคมะเร็งได้

 

 

collagen Peptide

 

Collagen Peptide (คอลลาเจนเปปไทด์)

 

       คอลลาเจนเปปไทด์ บริสุทธิ์ ในตลาดมีมากมายหลาย ชนิด ผู้บริโภคควรศึกษาคุณภาพและความปลอดภัยเป็นสำคัญ ควรเลือก คอลลาเจนเปปไทด์ บริสุทธิ์ ที่ได้จากปลาทะเลตามธรรมชาติ โดยปราศจากการใช้สารเคมี ไม่มีสารปนเปื้อน และไม่มีการตัดแต่งพันธุกรรม และเป็นปลาทะเลตามแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นแหล่งน้ำที่มีความบริสุทธิ์และสะอาด รวมไปถึงกรรมวิธีการผลิตให้เป็นไปตามมาตราฐาน นอกจากนี้ควรเลือก คอลลาเจนเปปไทด์บริสุทธิ์ ที่มีโปรตีนมากที่สุด และมีสารสำคัญที่มีคุณภาพครบถ้วน เช่น ไกลซีน (Glycine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนสำคัญที่เป็นส่วนประกอบหลักของคอลลาเจนในร่างกาย ทั้งนี้เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการรับประทาน

Collagen Peptide

คอลลาเจนเปปไทด์ คือลักษณะของคอลลาเจนที่ผ่านระบบการย่อยจากเอนไซม์ จนมีโมเลกุลคอลลาเจนที่มีขนาดเล็กมาก ส่งผลทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ คอลลาเจนจึงใช้ประโยชน์ได้ดีมากกว่าคอลลาเจนในรูปแบบอื่นๆ มีประโยชน์ต่อผิว ทำให้ผิวดี ผิวสวย ใส เต่งตึง มีออร่า เป็นสิ่งที่ผู้หญิงหลายๆ คนต้องการ 

 
ประโยชน์ของคอลลาเจนเปปไทด์

โดยเฉลี่ยแล้ว เมื่อคนเราเมื่อมีอายุมากกว่า 25 ปี ทั้งเพศทั้งเพศหญิงและเพศชายจะสูญเสียปริมาณของคอลลาเจนไปโดยเฉลี่ย 1.25 – 1.50 ต่อหนึ่งปี และอาจเพิ่มอัตราการสูญเสียคอลลาเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อเข้าสู่อายุตั้งแต่ 40 ปี เป็นต้นไป หรือสูญเสียคอลลาเจนมากกว่าปกติกับคนที่ต้องพบเจอปัญหามลภาวะ แสงแดด ฝุ่น และอื่น ๆ อีกมากมาย และนั้นจะทำให้ผิวหนังจะแก่ไวมากกว่าคนปกติ การที่จะคงสภาพของผิวสวยให้อยู่นานๆ นั้นเราต้องเติมคอลลาเจนคืนให้กับร่างกายและผิวพรรณ

 

ประโยชน์ด้านผิวพรรณของคอลลาเจนเปปไทด์
คอลลาเจนเปปไทด์ เป็นคอลลาเจนช่วยบำรุงฟื้นฟูผิวพรรณให้ชุ่มชื่นสดใสเนียนนุ่มอยู่เสมอ ช่วยบำรุงผิวพรรณที่แห้งเสียแตกกร้าน และผิวที่ถูกทำลาย ให้เกิดความกระชับ เปล่งปลั่ง สดใส เนียนนุ่ม ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ ช่วยลดฝ้าให้จางลง และปกป้องผิวจากรังสียูวีของแสงแดด

 

ประโยชน์บำรุงผมและเล็บของคอลลาเจนเปปไทด์
คอลลาเจนเปปไทด์ เป็นคอลลาเจนที่สามารถบำรุงสุขภาพเล็บ ผม และสายตา ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เล็บที่ไม่แข็งแรง เพิ่มความหนาของเส้นผม ไม่ให้เส้นผมหลุดร่วง ประโยชน์คอลลาเจนเปปไทด์ ช่วยดูแลข้อต่อของกระดูก คอลลาเจนเปปไทด์ สามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในบริเวณข้อต่อกระดูกให้มีสภาพดียิ่งขึ้น เพิ่มความแข็งแรงให้กับข้อต่อ กระดูก และกระดูกอ่อน สามารถช่วยลดกระบวนการการสลายแคลเซียม และช่วยบรรเทาอาการปวดข้อจากสาเหตุของการสูญเสียคอลลาเจน

 

Collagen Type lll(คอลลาเจนไตรเปปไทด์)

เป็น คอลลาเจนที่ผ่านการย่อยด้วยกรด จนได้ขนาดอนุภาคที่เล็กที่สุด หรือที่เรียกอีกชื่อว่า ไฮโดรไลเซตคอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen) ซึ่งขนาดยิ่งเล็กเท่าใดจะบ่งบอกถึง ประสิทธิภาพในการดูดซึมที่ดียิ่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบชนิดของ คอลลาเจนไตรเปปไทด์ ที่สกัดจากสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น หมู วัว ปลา จากผลการวิจัยจะพบว่าคอลลาเจน ไตรเปปไทด์ ที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึก มีลักษณะคล้ายโครงสร้างคอลลาเจน ของผิวคนนอกจากนี้ ร่างกายจะดูดซึมคอลลาเจน จากกระเพาะอาหารได้ดีกว่า ทางผิวหนัง ทำให้การเติมคอลลาเจนให้แก่ผิวด้วยการรับประทานสารสกัดคอลลาเจน อย่างต่อเนื่อง จะช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง ให้เติมเต็มริ้วรอยและลดความเหี่ยวย่นของผิวอย่างได้ผล ทำให้ผิวมีความชุ่มชื่น นุ่มเนียนขึ้น แลดูอ่อนเยาว์ไปหลายปี

หนึ่งในความปราถนาสูงสุดของผู้หญิง และชายทุกคน ล้วนต้องการผิวสวยเปล่งปลั่ง กระชับ และเรียบเนียนคงอยู่ตราบนานเท่านานโดยผิวในวัยเด็ก จะมีความสมบูรณ์ที่สุด อุดมไปด้วยความสดใส เต่งตึง เพราะโครงสร้างของผิวเต็มเปี่ยมไปด้วย คอลลาเจนที่ดี

คอลลาเจน (Collagen) เป็นเส้นใยโปรตีนความงาม ที่สานถักทอกันเป็นโครงข่ายใต้ชั้นของผิว โดยทำหน้าที่เหมือนสปริง ที่สร้างความตึงและยืดหยุ่นให้ผิวชั้นหนังแท้ มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื่น เปล่งปลั่งแม้ตามปกติแล้ว ร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนได้เอง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ร่างกายจะค่อยๆ ลดการสร้างคอลลาเจนโดยเมื่อถึงอายุ 40 ปี กระบวนการสร้างคอลลาเจน จะช้าลงถึง 30% อีกทั้ง มีการเผชิญกับสภาวะแวดล้อมรอบด้าน เช่น รังสียูวี ความเครียด การสูบบุหรี่ล้วนเป็นศัตรูร้ายของผิว ทำให้ผิวเสื่อมโทรม ขาดความยืดหยุ่น จนมีริ้วรอยเหี่ยวย่นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตามใบหน้าและลำคอ

ดังนั้น หญิงชายเ ที่รักสวย รักงามในยุคนี้ ที่ไม่ค่อยมีเวลาเอาใจใส่ตัวเอง จำเป็นที่จะต้องหาวิถีทางที่สะดวกและง่ายๆ ในการเพิ่มเติมคอลลาเจนเข้าสู่ผิว เพื่อให้ผิวดูดีอยู่เสมอ แม้เวลาล่วงเลยไป

 

 

Melon Extract

 

Melon Extract (สารสกัดจากเมล่อน)

 

สารสำคัญสุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระ (Supercv – antioxidant) ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายและมีประสิทธิภาพสูง คือ SOD (Super Oxide Dismutase) และ Catalase รวมทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกแคโรทีนนอยด์ (Carotenoids),โค-เอมไซม์ (Co-enzyme),วิตามินเอ (Retinol), วิตามินอี (Tocopherol),วิตามินซี (Ascobic acid),มีส่วนผสมของกลูต้าไธโอนในโครงสร้างของเมลอน (Glutathione), ซีลีเนียม (Selenium) และอื่นๆ ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

ประโยชน์ของสารสกัดจากเมล่อน (SOD)

* ผิวพรรณสดใส, เต่งตึง 
* ปกป้อง DNA จากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 
สาเหตุหลักของการเกิดความเสื่อมของเซลล์
* มีคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และทำให้ผิวเนียนนุ่ม
* ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวในการกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น
* คุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม ซึ่งมีประโยชน์ในการปกป้องผิวจากมลพิษ
* ต่อต้านและยับยั้งกระบวนการ Oxidation อันเป็นสาเหตุของหลักของการเสื่อมสภาพของเซลล์ 
สามารถช่วยลดริ้วรอย จุดด่างดำ และการเกิดฝ้ากระ ได้เป็นอย่างดีเยี่ยม

 

 

สารสกัดจากเปลือกสน

 

สารสกัดจากเปลือกสน (Pine Bark Extract)

 

            หมายถึง เปลือกของต้นสนมาริไทม์ ในประเทศฝรั่งเศส เป็นสารที่มีคุณสมบัติ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประสิทธิภาพสูง (Super Anti-oxidation) เเละยังเสริมฤทธิ์การทำงานของ วิตามิน C เเละ วิตามิน E ช่วยป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระ ที่เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา รวมทั้ง ปัจจัยภายนอกต่างๆ อันเป็นสาเหตุของ ความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น หลอดเลือด หัวใจ ดวงตา ผิวหนัง รวมไปถึงระบบประสาท เป็นต้น

              สารสกัดที่ได้จากเปลือกสน ก็คือ โปรเเอนโธชัยยานิดีน (Oligomeric Proanthocyanidin Complexes – OPC) หรือ พิกโนจีนอล (Pycnogenol)

ประโยชน์

ที่ได้จากสารสกัดจากเปลือกสน จะช่วยประสานและปกป้องคอลลาเจน (คอลลาเจน เป็นโปรตีนในผิวหนังที่ช่วยให้ ผิวตึงกระชับไม่เหี่ยวย่น) โดย Pycnogenol จะจัดการกับเอนไซม์ และสารอนุมูลอิสระ ไม่ให้มาทำลาย เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน จึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอย ช่วยให้ทนต่อรังสี UV จากแสงแดดมากขึ้นกว่าปกติ ช่วยต่อต้านความเสื่อมของผิวพรรณ จากแสงแดด Pycnogenol ยังช่วยต่อต้านการผลิต เม็ดสีเมลานิน แก้ไขปัญหาฝ้ากระอย่างได้ผล ผิวจะกระจ่างขาวใสมากขึ้น นอกจากนี้ ปัญหาฝ้า เเละผิวหมองคล้ำ ริ้วรอยก่อนวัย Pycnogenol ก็ยังช่วยได้ โดยจะเข้าไป ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เเละไปยับยั้งการทำงานของเม็ดสีผิว ที่ผิดปกติ ทำให้ผิวเนียนเรียบ เเข็งเเรง เเละยืดหยุ่นได้ดีขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ นอกจากนี้ การได้รับ Pycnogenol เป็นประจำ

ยังส่งผลให้ลดภาวะความเสี่ยง ต่อการเป็น มะเร็งที่ผิวหนัง เนื่องจากเป็น สารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประสิทธิภาพสูง

 

 

RESVERATROL

 

RESVERATROL

 

เรสเวอราทรอล สารยืดอายุยีนมนุษย์

WHY RESVERATROL?
ทำไมต้อง RESVERATROL (เรสเวอราทรอล) ?

RESVERATROL เริ่มเป็นที่รู้จักจากปรากฏการณ์ “French Paradox” ในปี ค.ศ.1992 ปรากฏการณ์นี้เป็นที่รู้จักกันดีในวงการการแพทย์และสารอาหาร คือ ค้นพบว่า “ชาวฝรั่งเศสมีอายุขัยที่ยืนยาว” กว่าประชากรของประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรปกว่า 18 ประเทศ ชาวฝรั่งเศสมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจน้อยกว่า และอัตราการเสียชีวิตจากโรคเสื่อมน้อยกว่าถึง 3 เท่า
ทั้งๆ ที่ลักษณะของการกินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ไขมันสูงในปริมาณมากเช่นกัน 
ค้นพบสาเหตุคือ ชาวฝรั่งเศสบริโภคสาร RESVERATROLในปริมาณมากในอาหาร ซึ่งสารชนิดนี้มักจะพบมากที่บริเวณผิวขององุ่นแดง (Grape skin) และในไวน์แดง (Red wine) หลังจากนั้น นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามทำงานวิจัยออกมามากมาย ต่างออกมายืนยันประโยชน์ของ RESVERATROL เป็นจำนวนมากสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึง 4000ฉบับ ณ ปี 2016 นี้

ซึ่งคุณประโยชน์หลักของ เรสเวอราทอล คือ ชะลอความชรา, ต้านอนุมูลอิสระ, ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ, การต่อต้านมะเร็ง และปรับสมดุลในร่างกาย เป็นต้น


ประโยชน์ของ RESVERATROL (เรสเวอราทรอล)
สรุปผลการวิจัยทางคลินิกเด่นๆ รวมทั้งการศึกษาจาก ม.ฮาวาร์ด

 1. ชะลอความแก่ชรา ดูอ่อนเยาว์ (Anti-aging) 

เรสเวอราทอล ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ SIRT1 (SIRT1 เป็นเอนไซม์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำให้สิ่งมีชีวิตมีอายุที่ยืนยาวขึ้น) ด้วยปรับกระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย 

ปี  2003  นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลอง เรสเวอราทอลสามารถยืดอายุขัยของยีสต์ ซึ่งเป็นสัตว์เซลล์เดียวได้ถึง  70%  ซึ่งมีกลไกเดียวกับการยืดอายุของชีวิตมนุษย์  ต่อมาจึงมีการทดลองในสัตว์ชนิดอื่นๆ   เช่น หนอน และปลาที่มีกระดูกสันหลัง พบว่าได้ผลเช่นเดียวกัน

ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา

นายเดวิด ซินแคลร์ ศาสตราจารย์ด้านพันธุกรรมศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เผยว่า สารเรสเวอราทรอลที่สกัดจากองุ่น จะเข้าไปทำงานกับโปรตีน SIRT 1 ซึ่งเป็นเอนไซม์ชะลอวัยที่มีอยู่ตามธรรมชาติของมนุษย์ เอมไซม์ตัวนี้จะเข้ามาขัดขวางขัดขวางโรคภัยที่มาพร้อมวัยของมนุษย์ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความจำเสื่อม โรคมะเร็ง และโรคอื่นๆ พร้อมทั้งช่วยชะลอวัยและทำให้อายุขัยยืนยาวขึ้น

จากการทดสอบกับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง โรคเบาหวานและโรคหัวใจ พบว่า สารเรสเวอราทรอล สามารถช่วยให้สุขภาพผู้ป่วยดีขึ้น และไม่เพียงเท่านั้น ศาสตราจาย์เดวิด ยังให้ข้อมูลว่า สารเรสเวอราทอล สามารถช่วยป้องกันโรคอื่นๆ ได้อีกหลายโรคด้ว

2. ต้านสารอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) 

เรสเวอราทอล มีพลังในการต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามิน C, วิตามิน E และ กลูตาไทโอน หลาย 1000 เท่า ทำให้มีสุขภาพดีขึ้น ผิวพรรณสดใส ด้วยช่วยการกำจัดสารพิษต่างๆ ในร่างกาย และยังช่วยชะลอการเสื่อมสลายของคอลลาเจน โดยช่วยยับยั้ง MMPs เอนไซม์ ที่ตัดย่อยคอลลาเจน ส่งผลให้ดูอ่อนวัยมากขึ้น

 3. ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ (Cardiovascular Prevention) 

เรสเวอราทอล ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจาก สามารถเปลี่ยนแปลงระดับไขมันในเลือด โดยลดโคเลสเตอรอล, ลดแอลดีแอล (LDL-ไขมันไม่ดี) และเพิ่ม เอชดีแอล (HDL-ไขมันดี) และยังป้องกันไม่ให้เลือดเกาะเป็นก้อน ลดความเลี่ยงการอุดตันในเส้นเลือด จึงทำให้ลดความเสี่ยงที่เกิดโรคหัวใจได้

ปี  2007  มีการทดลองให้หนูกินอาหารแคลอรี่สูงกว่าปกติ 30%   และแบ่งหนูทดลองออกเป็น  2  กลุ่ม  โดยกลุ่มหนึ่งกินอาหารแคลอรี่สูงอย่างเดียว  ส่วนหนูอีกกลุ่มหนึ่งกินอาหารแคลอรี่สูง  และ ได้รับเรสเวอราทอล วันละ  22 mg. ร่วมด้วย  ผลปรากฏว่าหนูกลุ่มที่กิน เรสเวอราทอล ร่วมด้วย  มีอัตราการตายจากโรคหัวใจ และหลอดเลือดน้อยกว่าหนูกลุ่มที่ได้รับอาหารแคลอรี่สูงถึง  30%

การวิจัยจากประเทศสเปน

นักวิจัยจากประเทศสเปน ได้มีการทำการวิจัยในคนเป็นเวลานานที่สุด กับ สารเรสเวอราทอล การวิจัยศึกษาแบบ Triple – blinded control ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจ 75 คน โดยการแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มแรก ให้รับประทาน rerveratrol 8 mg
กลุ่มที่สอง ให้ทานยาหลอก (maltodextrin)
กลุ่มที่สาม ให้ทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากองุ่นแต่ไม่มีส่วนผสมของเรสเวอราทอล เป็นเวลา 6 เดือน และเพิ่มปริมาณเป็น 2 เท่าในอีก 6 เดือนต่อมา

ผลการวิจัย พบว่าเฉพาะกลุ่มที่รับประทานเรสเวอราทอล ช่วยลดระดับ c-reactive protein (CRP) Tumor necrosis factor , PAI1 (Plasminogen activator inhibitor type 1) และเพิ่ม interleukin-10 ซึ่งต้านการอักเสบ จึงช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจในผู้ป่วยที่รับประทานได้

จากการศึกษายังพบอีกว่า เรสเวอราทอล ทำงานให้ผลคล้ายคลึงกับยา Statin ซึ่งเป็นยาลดคลอเรสเตอรอล และการรับประทาน เรสเวอราทอล ควบคู่กับ Pravastatin ให้ผลดีกว่าทานยา Statin เพียงอย่างเดียว

4. ป้องกันมะเร็ง (Cancer Prevention) 

เรสเวอราทอล สามารถยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็งในคนได้ โดย ช่วยหยุดยั้งการกระจายของเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์ร้ายตายไปในที่สุด เรียกว่า อะพ็อพโตซิส และไม่เป็นพิษในเซลล์ปกติ ทำให้ปลอดภัยต่อมนุษย์

การวิจัยในประเทศไทย

จากการศึกษาวิจัย (นภาพร แก้วดวงดี, 2547) ได้นำสารเรสเวอราทรอล มาทำการทดสอบฤทธิ์ความเป็นพิษของเรสเวอราทรอลต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตและฆ่าเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี ที่พบในประเทศไทย คือ มะเร็งท่อน้ำดี KKU-100 โดยวิธี SRB assay พบว่า เรสเวอราทรอลสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี KKU-100 โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 6.74?0.21 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร และฤทธิ์ความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งจะแปรตามความเข้มข้นของสาร เมื่อเทียบกับเซลล์ปกติจะมีค่า IC50 เท่ากับ 16.29?2.69 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร

นอกจากนี้ยังพบว่า “เรสเวอราทรอล” ยังช่วยยับยั้งวัฏจักรของเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี (cell cycle arrest) ได้ และยังสามารถชักนำให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็งและหยุดยั้งการกระจายจนตายไปในที่สุดที่เรียกว่า “อะพ็อพโตซิส” ซึ่งเป็นการวิจัยครั้งแรกที่ค้นพบในประเทศไทย

ในการศึกษาครั้งนี้ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา และได้รับการสนับสนุนทางเครื่องมือจากคณะแพทย์ศิริราชพยาบาลและ Prof. Dr. Anirban Maitra ณ มหาวิทยาลัย Johns Hopkins สหรัฐอเมริกา

Reference: Oregon State University
Linus Pauling Institute (Micronutrient Research for Optimum Health)
Click link   http://lpi.oregonstate.edu/infocenter/phytochemicals/resveratrol/

 5. ปรับสมดุลร่างกาย  (Balance your life) 

เรสเวอราทอล ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ SIRT 1 ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีอายุที่ยีนยาวขึ้น โดยปรับสมดุลในร่างกาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายให้ดีขึ้น โดยเฉพาะ โรคเบาหวานชนิดที่ 2, โรคอัลไซล์เมอร์, โรคตับ, โรคหัวใจ, โรคปอด, การอักเสบของลำไส้

Reference:

1. Heilbronn LK, Ravussin E. Calorie restriction and aging: review of the literature and implications for studies in humans. Am J Clin Nutr. 2003;78(3):361-369. (PubMed)

2. Baur JA, Pearson KJ, Price NL, et al. RESVERATROL improves health and survival of mice on a high-calorie diet. Nature. 2006;444(7117):337-342. (PubMed)

3. Valenzano DR, Terzibasi E, Genade T, Cattaneo A, Domenici L, Cellerino A. RESVERATROL prolongs lifespan and retards the onset of age-related markers in a short-lived vertebrate. Curr Biol. 2006;16(3):296-300. (PubMed)

4. Stojanovic S, Sprinz H, Brede O. Efficiency and mechanism of the antioxidant action of trans-RESVERATROL and its analogues in the radical liposome oxidation. Arch Biochem Biophys. 2001;391(1):79-89. (PubMed)

5. Brito P, Almeida LM, Dinis TC. The interaction of RESVERATROL with ferrylmyoglobin and peroxynitrite; protection against LDL oxidation. Free Radic Res. 2002;36(6):621-631. (PubMed)

6. Frankel EN, Waterhouse AL, Kinsella JE. Inhibition of human LDL oxidation by RESVERATROL. Lancet. 1993;341(8852):1103-1104. (PubMed)

7. Bradamante S, Barenghi L, Villa A. Cardiovascular protective effects of RESVERATROL. Cardiovasc Drug Rev. 2004;22(3):169-188. (PubMed)

8. Fulda S, Debatin KM. RESVERATROL modulation of signal transduction in apoptosis and cell survival: a mini-review. Cancer Detect Prev. 2006;30(3):217-223. (PubMed)

9. De Curtis A, Murzilli S, Di Castelnuovo A, et al. Alcohol-free red wine prevents arterial thrombosis in dietary-induced hypercholesterolemic rats: experimental support for the ‘French paradox’. J Thromb Haemost. 2005;3(2):346-350. (PubMed)

10.Jang M, Cai L, Udeani GO, et al. Cancer chemopreventive activity of RESVERATROL, a natural product derived from grapes. Science. 1997;275(5297):218-220. (PubMed)

11. http://www.health.harvard.edu/blog/RESVERATROL-the-hype-continues-201202034189

 

แหล่งที่มาของ Resveratrol

1. จากอาหารทั่วไป (Food Source)
สาร เรสเวอราทอล พบได้ที่องุ่น, น้ำองุ่น, ไวน์, ถั่วลิสง, ต้นหม่อน, ใบชา และผลเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่, แครนเบอร์รี่

เรสเวอราทอล จะพบที่ผิวองุ่นสูงมาก โดยผิวขององุ่นแดง จะมีปริมาณเรสเวอราทอลมากกว่าผิวองุ่นขาว โดยไวน์แดง 1 ขวดจะมีปริมาณเรสเวอราทอล ประมาณ 1-5 mg เท่านั้น!!!

2. จากอาหารเสริม (Supplement)
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารสกัด เรสเวอราทอล เป็นส่วนประกอบที่ได้จากสารสกัดจากไวน์แดง และสารสกัดจากเปลือกองุ่นแดง ซึ่งจะประกอบไปด้วย เรสเวอราทอล และ โพลีฟีนอล ร่วมกัน โดยปกติจะมีเรสเวอราทอล ปริมาณ 10-50 mg

 

 

 

Royal Jelly Extract Powder

 

  • นมผึ้ง (Royal jelly) เป็นอาหารสำคัญสำหรับผึ้งนางพญา เพราะช่วยในการเร่งการเจริญเติบโต ส่งผลให้ผึ้งนางพญาจะมีรูปร่างใหญ่โตและสวยกว่าผึ้งตัวอื่น ๆ และที่สำคัญยังช่วยให้ผึ้งนางพญามีอายุยืนมากกว่าผึ้งงานถึง 20 เท่า ! และยังช่วยให้ผึ้งนางพญาสามารถวางไข่เพื่อสืบพันธุ์ได้ประมาณ 2,500 ฟองต่อวันตลอดจนสิ้นอายุขัย โดยนมผึ้งนั้นผลิตมาจากผึ้งงานด้วยการขับออกมาจากต่อมไฮโปฟาริงค์และจากต่อมน้ำลายที่อยู่บริเวณส่วนหัวของผึ้งงาน
  • สำหรับนมผึ้งที่ผลิตได้ต่อรังนั้นจะมีปริมาณน้อยมาก ๆ โดย 1 รังจะสามารถผลิตนมผึ้งได้เพียงวันละ 2-3 กรัมเท่านั้น และลักษณะทางกายภาพของนมผึ้งนั้นจริง ๆ แล้วจะเป็นของเหลวข้น มีสีเหลืองอ่อนออกครีม มีกลิ่นฉุน รสชาติเปรี้ยว และค่อนข้างจะเผ็ดด้วยเล็กน้อย ซึ่งวิธีการเก็บรักษานั้นควรเก็บในอุณหภูมิห้องหรือในอุณหภูมิเย็นประมาณ 3-8 องศา และสำหรับส่วนประกอบหลักในนมผึ้งนั้นจะมี น้ำ น้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน กรดอะมิโน แร่ธาตุต่าง ๆ สารชีวโมเลกุล ซึ่งถือว่ามีประโยชน์อย่างมาก

ประโยชน์ของนมผึ้ง

  1. เป็นยาอายุวัฒะที่อัศจรรย์ด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยในการชะลอวัยและทำให้สุขภาพแข็งแรง
  2. นมผึ้งเป็นแหล่งของสารอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์มาก และมนุษย์ก็จำเป็นต้องรับประทานเช่นกัน
  3. มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ช่วยลดปัญหาของสิว ฝ้า กระ ได้
  4. ช่วยในการรักษาหวัดและหอบหืด
  5. ช่วยในการเจริญอาหาร
  6. ช่วยในการเจริญเติบโตของสมองและร่างกาย
  7. ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจนและชะลอการเกิดริ้วได้
  8. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดและช่วยขจัดไขมันที่ตกค้างในตับ
  9. ช่วยลดความดันโลหิตและการขยายตัวของหลอดเลือดได้
  10. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  11. ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงให้มีความสมบูรณ์แข็งแรง
  12. ช่วยในการรักษาบาดแผลให้หายเร็วยิ่งขึ้น
  13. ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร
  14. ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารและมีออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีมากขึ้น
  15. ช่วยให้แคลเซียมดูดซึมได้ดีขึ้น มีผลทำให้ช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุน เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก
  16. ช่วยบำรุงเส้นผมให้มีสุขภาพแข็งแรง
  17. มีส่วนช่วยบรรเทาอาการเครียดและช่วยต่อต้านความเครียด
  18. ช่วยต่อต้านสารกัมมันตรังสีและช่วยยับยั้งการลุกลามของเซลล์มะเร็งในร่างกาย
  19. ผู้ป่วยมะเร็งในระยะแพร่กระจาย เมื่อรับประทานนมผึ้งจะช่วยลดการอักเสบของก้อนมะเร็งได้
  20. ช่วยต่อต้านการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อดื้อยาต่าง ๆได้หลายชนิด
  21. ช่วยต่อต้านการเจริญเติบโตของเชื้อราบริเวณผิวหนังได้ดี
  22. ช่วยกระตุ้นและเสริมสร้างการทำงานและปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง

 

 

สาหร่ายแดง astaxanthin

 

สาหร่ายแดง astaxanthin

 

สาหร่ายแดง astaxanthin เป็นอาหารเสริมที่กำลังได้รับความนิยมจากคนรักสุขภาพจำนวนมาก เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เข้มข้นสูง ซึ่งสกัดได้จากสาหร่ายทะเลที่มีส่วนประกอบของสารแอสต้าแซนธินธรรมชาติ (Astaxanthin) ใช้รับประทานเพื่อช่วยให้สุขภาพดีมากขึ้น โดยมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมจนมีการขนานนามว่าสาหร่ายแดง astaxanthin เป็นซุปเปอร์แอนติออกซิแดนท์

 

สารแอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) คืออะไร ทำไมต้องสาหร่ายแดง
สารแอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารสีแดงในกลุ่มแซนโทรฟิลล์ ตระกูลแคโรทีนอยด์  พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ เช่น ในปลาแซลมอน ไข่ปลาคาเวียร์ เปลือกกุ้งปู เป็นต้น ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างสารชนิดนี้ขึ้นเองได้ เราจะได้รับสารชนิดนี้จากอาหารที่รับประทานเข้าไปในปริมาณที่น้อยมาก อย่างเช่นถ้ารับประทานปลาแซลมอน 200 กรัม จึงจะได้รับแอสตาแซนธินแค่เพียง 1 มิลลิกรัม แต่สารแอสต้าแซนธิน สามารถสกัดจากสาหร่ายที่ชื่อว่า “Haematococcus Pluvialis” หรือสาหร่ายแดง astaxanthin จึงมีการนำมาทำเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพกันอย่างแพร่หลาย
ทั้งนี้ มีผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ได้ทำการศึกษาประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระชนิดต่างๆ พบว่าสาหร่ายแดง astaxanthin มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าวิตามินซี 6,000 เท่า CoQ10 800 เท่า วิตามินอี 550 เท่า Green tea catechins 550 เท่า Alpha lipoic acid 75 เท่า เบต้าแคโรทีน 40 เท่า และสารสกัดจากเมล็ดองุ่นถึง 17 เท่า

 

ประโยชน์ของสาหร่ายแดง astaxanthin
1.ช่วยป้องกันการอักเสบเรื้อรังภายในร่างกาย ลดอาการแทรกซ้อนของโรคต่างๆ
2.เพิ่มพละกำลัง ความแข็งแรงของร่างกาย รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าตลอดทั้งวัน
3.ป้องกันผิวจากแสงแดดและรังสียูวี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ดูอ่อนกว่าวัย ปรับสีผิว เพิ่มความยืดหยุ่น เพิ่มความนุ่มนวลลดฝ้า และจุดด่างดำ
4.บำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นดีขึ้น เพราะสารแอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) และสารลูทีน (Lutein) สามารถถูกดูดซึมไปเลี้ยงเบ้าตาที่อาหารเสริมตัวอื่นไม่สามารถทำได้
 5.บำรุงสมองและระบบประสาท ช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้มีสมาธิ ความจำดีขึ้น เนื่องจากสารแอสต้าแซนธินสามารถถูกดูดซึมไปเลี้ยงสมองได้
6.ลดอาการบาดเจ็บ ปวดเมื่อยข้อมือเนื่องจากอาการเอ็นอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้มือยกของ ทำงานหนัก ปวดข้อมือ มีอาการนิ้วล๊อค เอ็นข้อมืออักเสบ
7.รักษาอาการปวดจากเม็ดพุพอง และแผลเปื่อยในช่องปากเนื่องจากเป็นไข้ เช่น ร้อนใน ภูมิแพ้ และผื่นคัน
 8.รักษาโรคเทนนิส เอลโบ (Tennis Elbow) ซึ่งเป็นอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ ช่วงกระดูกข้อมือ ข้อศอกด้านนอกของกระดูกต้นแขน
9.โรครูมาตอยด์ สาหร่ายแดงมีผลวิจัยทางการแพทย์ของอเมริกาว่าสามารถรักษาโรครูมาตอยด์ได้
10.โรคหัวใจและหลอดเลือดแข็งตัว ไม่ยืดหยุ่น โดยสาหร่ายแดงจะลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่เป็นพิษต่อร่างกาย และเสริมไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
 11.บำรุงน้ำเชื้ออสุจิ ทำให้สมรรถภาพร่างกายดีขึ้น
12.เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ร่างกายแข็งแรง ทนทานต่อการเป็นโรคมากขึ้น
 13.ลดอัตราเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เข้มข้น และเอนไซม์ธรรมชาติ
14.ช่วยรักษาอาการเส้นเอ็นยึดและพังผืด ซึ่งเกิดจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน ไม่ค่อยออกกำลังกาย โดยปกติโรคนี้จะรักษาได้ยากเพราะสาเหตุเป็นที่เส้น ไม่ใช่กระดูก จึงเอ็กซเรย์ไม่พบ

 

สาหร่ายแดง astaxanthin เหมาะกับใครบ้าง
สำหรับผู้ที่เหมาะกับการรับประทานสาหร่ายแดง ได้แก่ ผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเรื่องความงามและสุขภาพผิว ผู้ที่ต้องเผชิญกับมลภาวะต่างๆเป็นประจำ อย่างความเครียด ฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ เป็นอาทิ ผู้ที่ต้องทำงานหนักไปกับการใช้สายตาจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน รวมถึงนักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ สำหรับเด็กเล็กอายุตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป ก็สามารถรับประทานได้ โดยบีบใส่ขวดนมหรือเครื่องดื่ม จะทำให้มีพัฒนาการดีขึ้น

ปัจจุบันสาหร่ายแดง astaxanthin ได้ถูกนำมาทำเป็นอาหารเสริมมากมาย และมีการเพิ่มสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆเข้ามาช่วยเสริม ดังนั้น เราในฐานะผู้บริโภคจำเป็นต้องสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ที่สำคัญอย่าลืมรับประทานอาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงแค่สุขภาพร่างกายของเราก็จะแข็งแรงสมบูรณ์อย่างที่มนุษย์ทุกคนต้องการ